
เช็กลิสต์ 10 พฤติกรรมที่คุณ(อาจ)พลาด ขณะเลือกซื้อประกันสุขภาพ
หมดไฟหรือ Burnout เป็นอีกหนึ่งคำที่เรามักได้ยินกันเป็นประจำไม่ต่างจากพวกคำอย่างอินโทรเวิร์ต เอ็กซ์โทรเวิร์ต เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ไม่รู้จักการเบิร์นเอ้าท์อาจคิดว่าภาวะหมดไฟเป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างสวยหรูเพื่อเป็นคำที่ใช้อย่างเท่ ๆ ตามยุคสมัย แต่ในความเป็นจริงการหมดไฟเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาการที่คนทำงานหลาย ๆ คนในยุคนี้ต้องเผชิญและทนทุกข์ไปกับมัน ก่อให้เกิดผลเสียกับทั้งตัวเองและงานที่ทำอยู่ น้องแคร์จึงจึงอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ รู้จักกับภาวะหรืออาการ Burnout กันให้มากขึ้น ไปดูกันว่าโรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเราจะแก้อาการหมดไฟได้อย่างไรกันบ้าง
หมดไฟ หรือ Burnout Syndrome คือ ภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจที่เกิดจากความเครียดสะสมเรื้อรังเป็นเวลานานและไม่ได้รับการแก้ไข องค์กรอนามัยโรค (WHO) ยังไม่ได้จัดให้อาการหมดไฟเป็นโรคทางการแพทย์ โดยภาวะหมดไฟจะทำให้ความรู้สึกเชิงลบต่อสิ่งต่าง ๆ เกิดความเหนื่อยล้าทางด้านอารมณ์ เบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ หมดไฟในการทำงาน ขาดความสุขความสนุกในการทำงาน ซึ่งส่งผลต่อทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และยังส่งผลกระทบต่อตนเองไปจนถึงการงานและคนรอบข้างแบ่งลักษณะอาการได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
การหมดไฟหรืออาการ Burnout Syndrome มีสาเหตุเกิดจากความเครียด ความกดดันสะสมจากภาระงานที่มากจนเกินไป ตัวงานมีความยากเกินความสามารถ มีความซับซ้อนที่ต้องใช้เวลาและความคิดเป็นอย่างมากในการทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ถูกกดดันให้ทำอย่างเร่งรีบ ไปจนถึงความไม่ชัดเจนของตัวงาน ขาดอำนาจตัดสินใจให้ทำงานสำเร็จลุล่วง ต้องแก้ปัญหาหรือว่าทำงานตัวคนเดียวโดยไม่มีคนคอยช่วย และยังอาจเกิดจากค่าตอบแทนไม่เหมาะสมกับตัวงาน
การหมดไฟหรือ Burnout นอกจากจะเกิดจากปัญาในเรื่องของตัวงานและสภาพแวดล้อมแล้ว ตัวของเราเองอาจจะยังทำให้เกิดปัญหาหมดไฟในการทำงานได้อีกด้วย อันเนื่องมาจากอุปนิสัยส่วนตัวอย่างเช่นการเป็นคนจริงจัง ขาดความยืดหยุ่น เป็นคนที่มีความคาดหวังสูง ปัญหาภายในครอบครัว หรือว่าเป็นการทำงานหนักเกินไปจนไม่ได้พักผ่อน ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบชั้นดีที่ก่อให้เกิดภาวะหมดไฟขึ้น
ซึ่งถ้าลองเช็กดูแล้วเพื่อน ๆ เข้าข่ายอาการหมดไฟอยู่หลายข้อ ก็ขอให้คิดไว้ก่อนเลยว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงการหมดไฟแล้ว ควรให้ความสำคัญกับตนเองรับมือกับอาการหมดไฟที่เกิดขึ้น
สำหรบกลุ่มคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงของอาการหมดไฟหรือ Burnout มักจะเป็นคนที่มีนิสัยจริงจัง ยึดติดความสมูรณ์แบบยึดติด(Perfectionism) ขาดความยืดหยุ่น ไปจนถึงกลุ่มคนอยู่ในภาวะต่าง ๆ ดังนี้
หลาย ๆ คนคงคิดว่าการหมดไฟเกิดขึ้นได้แต่เฉพาะกับคนวัยทำงานไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศ ผู้บริหาร ไปจนถึงคนที่ประกอบอาชีพที่มีความเครียดความกดดัน แต่ในความเป็นจริงแล้วภาวะ Burnout สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกช่วงวัยและทุกอาชีพ
การหมดไฟในการทำงานส่งผลกระทบเชิงลบในหลาย ๆ ด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย จิตใจไปจนถึงสังคมรอบข้างโดยน้องแคร์ได้แยกผลกระทบจากภาวะ Burnout ไว้ดังต่อไปนี้
เมื่อเพื่อน ๆ เริ่มมีอาการอยู่ข่ายหมดไฟ (Burnout) อาจเกิดคำถามว่า“หมดไฟ ทําไงดี?” ซึ่งอย่างแรกที่ควรทำเลยก็คือยอมรับความจริงเสียก่อนว่าตัวเองนั้นมีภาวะของ Burnout Syndrome แล้ว โดยสิ่งต่อมาที่ควรจะทำคือหาทางแก้อาการหมดไฟ หรือช่วยบรรเทาภาวะหมดไฟเพื่อให้คุณภาพชีวิตกลับมาอยู่ในระดับปกติให้เร็วที่สุด ซึ่งน้องแคร์อยากแนะนำวิธีรับมือการหมดไฟให้กับเพื่อนได้นำไปลองทำดู จะมีอะไรบ้างไปชมกันได้
การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นวิธีที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังในการจัดการกับการหมดไฟ เราใช้เวลาทั้งวันไปกับการทำงานที่หนักหนา ร่างกายย่อมแบกรับทั้งความเครียดรวมถึงความกดดันต่าง ๆ มากมาย การที่ให้ร่างกายได้พักผ่อนและฟื้นฟูตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อลดการเกิดอาการ Burnout
เป็นอีกหนึ่งการจัดการกับการหมดไฟหรือ Burnout ที่ได้ผลดีในระยะยาวกับการปรับเปลี่ยนแนวคิดของทั้งการใช้ชีวิตและการทำงานในรูปแบบใหม่ปรับลดความจริงจังลงไปบ้าง ให้ความสำคัญกับเรื่องที่จำเป็น ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น ฝึกการมองโลกในแง่บวกไม่มีอะไรที่ร้ายเกินไปตลอด ลดความคาดหวังต่อสิ่งต่าง ๆ ลง ใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความเป็นจริงซึ่งรับรองเลยว่าชีวิตเพื่อน ๆ จะมีความสุข ลดอาการและความเสี่ยงของภาวะหมดไฟลงได้อย่างแน่นอน
สำหรับคนที่หมดไฟในการทำงาน ไม่ว่าจะเจองานหนักหรืองานยากในรูปแบบไหน ลองจัดระเบียบการทำงานตามที่น้องแคร์ได้รวมมาให้เพื่อน ๆ ทุกคนดูดังนี้
ลองนำวิธีการต่าง ๆ ไปปรับใช้กับการทำงานดูน่าจะช่วยให้หลาย ๆ คนมีอาการของการหมดไฟที่ดีขึ้น
วิธีรับมือกับการหมดไฟในวิธีต่อไปป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำได้ง่าย ๆ ไม่มีความยุ่งยากอะไรกับการออกไปทำในสิ่งที่เพื่อน ๆ รักหรือมีความชื่นชอบซึ่งจะช่วยให้ร่างกายได้รู้สึกผ่อนคลายจากความตึงเครียด บางคนอาจจะชอบในการวิ่ง ออกไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ หรือแม้แต่การดูหนังในวันหยุดพักผ่อน ดังนั้นเพื่อลดการหมดไฟในการทำงานควรผ่อนคลายด้วยกิจกรรมที่ชื่นชอบ
เพื่อต่อกรกับการหมดไฟหรือภาวะ Burnout ที่อาจเกิดขึ้นได้ ลองหาความรู้ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในงานที่ตัวเองทำอยู่ฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น หรือว่าจะเป็นความรู้ใหม่ ๆ ที่ในปัจจุบันสามารถหาศึกษาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้การหาแรงบันดาลใจจากสิ่งต่าง ๆ ก็จะช่วยให้การใช้ชีวิตมีเป้าหมาย มีแรงในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันอีกด้วย
ถ้าเพื่อน ๆ เกิดการหมดไฟหรือ Burnout แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรดีหรือว่าลองวิธีที่น้องแคร์แนะนำข้างต้นแล้วยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ การไปหาหมอหรือขอคำแนะนำจากจิตแพทย์ถือว่าเป็นวิธีที่น่าจะได้ผลที่สุด เชื่อมือคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเป็นทางออกที่ดีที่สุด เราจะได้รับทั้งคำแนะนำในการปฏิบัติตัวรวมไปถึงในบางครั้งถ้าอาการของการหมดไฟนั่นหนักเกินรับมือ เราอาจได้รับยามาเพื่อบรรเทาภาวะหมดไฟที่เกิดขึ้น
การหมดไฟหรือภาวะ Burnout เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่คนปล่อยทิ้งไว้เพราะว่าจะส่งผลเสียกับทั้งตัวเองและต่อคนรอบข้าง น้องแคร์หวังว่าความรู้เรื่อง Burnout Syndrome สาเหตุและการรับมือกับภาวะหมดไฟที่ได้แนะนำจะช่วยให้เพื่อน ๆ ได้ห่างไกลหรือบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ ในเรื่องการของการใช้เวลาว่างไปกับสิ่งที่เพื่อน ๆ ชื่นชอบถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะจะช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียดจากการทำงาน ลดความเสี่ยงการหมดไฟลงอีกด้วย ซึ่งการออกไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก็มีค่าใช่จ่ายเป็นเรื่องธรรมดา จะดีกว่าไหมที่ทุกการใช้จ่ายจะได้สิ่งดี ๆ กลับคืนมาลอง เราอยากแนะนำให้ลองมาเปิดใช้งานหรือสมัครบัตรเครดิตที่ แรบบิท แคร์ เพราะว่าที่นี่มีบริการบัตรเครดิตหลากหลายให้เพื่อน ๆ เลือกได้ตรงกับความต้องการแน่นอน
มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี เป็นนักเขียนด้านประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อสุขภาพที่ Rabbit Care และ Asia Direct
และ 12 ปี ในอุตสาหกรรม OTA อย่าง Laterooms.com , Expedia.com จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว
จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาการจัดการการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทความแคร์สุขภาพ
เช็กลิสต์ 10 พฤติกรรมที่คุณ(อาจ)พลาด ขณะเลือกซื้อประกันสุขภาพ
โรคพุ่มพวงคืออะไร มีอาการอย่างไร อันตรายถึงชีวิตหรือไม่ ?