Ferrari SF90 Stradale ซูเปอร์คาร์สายพันธ์ใหม่ล่าสุด จาก เฟอร์รารี่
คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ้าแห่งความเร็วอย่างเฟอร์รารี่อย่างแน่นอน และในครั้งนี้ เฟอร์รารี่ก็ไม่น้อยหน้าเหล่าซูเปอร์คาร์จากค่ายอื่นๆ ด้วยการเปิดตัวรถคันใหม่ อย่าง SF90 Stradale ว่าแต่ซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ล่าสุดครั้งนี้ จะเจ๋งมากแค่ไหน ตาม Rabbit Care มาดูกันเลยดีกว่า
เฟอร์รารี่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่อีกครั้งด้วยการเผยโฉม SF90 Stradale ยนตรกรรม PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ซีรี่ย์แรก เมื่อวันพุธที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ เมืองมาราเนลโล ประเทศอิตาลี
เฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุดคันนี้ เปี่ยมไปด้วยความสุดยอดในทุกรายละเอียด ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพที่ไม่เคยมีในยนตรกรรมใดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น พละกำลัง 1,000 แรงม้า, อัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลังที่ 1.57 กก./แรงม้า และ Downforce 390 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. เป็นต้น
สมรรถนะเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ SF90 Stradale เป็นรถเฟอร์รารี่ที่ดีที่สุดในเซกเม้นต์ แต่ยังรวมถึงการเป็นรถขุมพลัง V8 รุ่นท็อปสุดในประวัติศาสตร์ของ Ferrari อีกด้วย
สมญานามของรถคันนี้ บ่งบอกถึงนัยสำคัญของสมรรถนะได้อย่างครบถ้วน ตัวเลข “90” อ้างอิงถึงวันครบรอบ 90 ปีของการก่อตั้ง Scuderia Ferrari เป็นการตอกย้ำถึงสายสัมพันธ์อันแข็งแกร่งที่เชื่อมโยงระหว่างรถแข่งและรถนนของ Ferrari ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนั้น SF90 Stradale ยังเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน ที่แสดงให้เห็นถึงการนำเอาความรู้และทักษะอันเชี่ยวชาญของแบรนด์ Ferrari ที่มีในสนามแข่ง ถ่ายทอดสู่รถยนต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
SF90 Stradale มาพร้อมกับขุมพลัง V8 ทำมุม 90 องศา ให้กำลังสูงสุด 780 แรงม้า นับเป็นเครื่องยนต์ V8 ที่ทำแรงม้าได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Ferrari ส่วนพละกำลังอีก 220 แรงม้าที่เหลือ ได้มาจากมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวด้วยกัน โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่รู้จักกันในนาม MGUK (Motor Generator Unit, Kinetic) ซึ่งได้รับการสืบทอดมาจากรถแข่ง F1 ติดตั้งไว้ที่ท้ายรถ ในตำแหน่งกลางระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์ 8 สปีด คัลทช์คู่ แบบใหม่ล่าสุด ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าอีก 2 ตัว ติดตั้งไว้ที่เพลาล้อหน้า
แม้ระบบจะมีความซับซ้อนมากขึ้น แต่การขับขี่ได้ถูกออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย ด้วยโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกถึง 4 โหมด
นอกจากนี้ SF90 Stradale ยังเป็นสปอร์ตคาร์คันแรกของ Ferrari ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยถ่ายทอดพละกำลังมหาศาลของขุมพลังไฮบริดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนได้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อันน่าทึ่งที่ 2.5 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที
ด้วยการใช้พลังไฟฟ้าที่เรียกว่า RAC-e ในการขับเคลื่อนเพลาคู่หน้า วิศวกรของ Ferrari จึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสองตัวนี้ จะทำงานแยกกันอย่างอิสระ ซ้าย-ขวา ในการควบคุมแรงบิดที่ถูกส่งไปยังล้อทั้งสอง
ความท้าทายในการสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ไฮบริดคันนี้ ก็คือการบริหารจัดการน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า โดยมุ่งไปที่การพัฒนาตั้งแต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงภาพรวมทั้งหมดของตัวรถ และเพื่อให้ได้มาซึ่งสมรรถนะสูงสุดทั้งในด้านของน้ำหนักโดยรวม, ความแข็งแกร่ง และจุดศูนย์ถ่วงของรถ
โครงสร้างและชิ้นส่วนตัวถังของ SF90 Stradale จึงเป็นแบบใหม่ทั้งหมด สร้างขึ้นโดยใช้วัสดุที่ได้มาจากเทคโนโลยีอันล้ำสมัย รวมถึงคาร์บอนไฟเบอร์
การพัฒนายนตรกรรมไฮบริดสมรรถนะสูงเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้นวัตกรรมทางด้านอากาศพลศาสตร์ร่วมด้วย การเพิ่มพลังขับเคลื่อนอันมหาศาลเข้าไป นำมาซึ่งปริมาณความร้อนที่มากขึ้นตามไปด้วย ส่งให้ต้องพัฒนาระบบการไหลเวียนมวลอากาศอย่างเจาะลึก รวมถึงต้องหาทางออกใหม่ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพดาวน์ฟอร์ซ เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้สมรรถนะการทรงตัวสูงสุดในทุกย่านความเร็วและทุกสภาพการขับขี่
นวัตกรรมที่เป็นจุดเด่นอย่างยิ่งก็คือสปอยเลอร์ขนาดเล็กแบบเปิดปิดได้ (Shut-off Gurney) ระบบแบบแอคทีฟนี้ติดตั้งไว้ที่ส่วนท้ายของรถ เพื่อควบคุมการไหลของอากาศบริเวณส่วนบนของตัวถัง ช่วยลดแรงต้านที่ความเร็วสูงและเพิ่มดาวน์ฟอร์ซทั้งในขณะเข้าโค้ง, เบรค และระหว่างที่ตัวรถเปลี่ยนทิศทางไปมา
แทนที่จะนำแรงบันดาลใจมาจากซูเปอร์คาร์รุ่นก่อนๆ ของ Ferrari อย่างเช่นจากครั้งที่เคยสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับการออกแบบ 360 Modena รถสปอร์ตหลังคาแข็งเครื่องยนต์วางกลางลำเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยนตรกรรมรุ่นใหม่คันนี้ ได้รับการปรับเปลี่ยนสไตล์ใหม่หมด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือภายในห้องโดยสาร ซึ่งมีพื้นที่ด้านหน้ากะทัดรัดขึ้น และจัดวางไว้ใกล้กับส่วนหน้ารถมากขึ้นเพื่อลดแรงต้านอากาศ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อความกว้างขวางสะดวกสบายในห้องโดยสาร
อีกนวัตกรรมสำคัญก็คือพวงมาลัยซึ่งมาพร้อมกับ Touchpad และปุ่มแบบสัมผัสที่จะช่วยให้ผู้ขับควบคุมแทบทุกระบบของรถได้เพียงปลายนิ้ว หน้าจอแสดงการทำงานเป็นแบบดิจิตอลทั้งหมด และเป็นครั้งแรกของโลกยนตรกรรมที่มีการนำ “จอโค้ง” ขนาด 16 นิ้ว แบบความคมชัดสูงมาใช้ โดยผู้ขับสามารถปรับและควบคุมได้จากชุดควบคุมที่ติดตั้งบนพวงมาลัย
คอนโซลกลางพัฒนาให้เหมาะกับสรีระและมาพร้อมกับองค์ประกอบที่นำมาจากอดีตอันน่าจดจำ นั่นคือชุดควบคุมการทำงานของเกียร์ที่เป็นแบบ Grille-style ซึ่งเคยใช้กับรถเกียร์ธรรมดาอันโด่งดังในตำนานของ Ferrari หลายๆ รุ่น กำเนิดเป็นการพบกันของอดีตและปัจจุบัน ที่มุ่งไปสู่อนาคต
ไม่เพียงแค่นั้น SF90 Stradale ยังเป็นรถรุ่นแรกของ Ferrari ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Keyless เต็มรูปแบบ และมีชื่อเฉพาะสำหรับแต่ละรุ่น ก่อนที่ระบบนี้จะถูกนำมาใช้กับรถรุ่นอื่นๆ ต่อไป โดยช่องเสียบรีโมทที่ออกแบบมาเป็นพิเศษช่วยให้กุญแจดูเป็นส่วนหนึ่งกับรถมากขึ้น
นอกจากการตกแต่งรถด้วยโลโก้ม้าลำพองทรงเหลี่ยมและสีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari ในรูปแบบสปอร์ตแล้ว SF90 Stradale ยังมีเวอร์ชั่นโลโก้ม้าลำพองที่ตกแต่งด้วยสีเหล็ก ที่ให้สัมผัสหรูหราอีกด้วย
และเป็นครั้งแรกของ Ferrari ที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถเลือกระหว่างรุ่นสแตนดาร์ดและรุ่นที่มีสเปคแบบสปอร์ตยิ่งขึ้น โดยสเปค “Assetto Fiorano” มาพร้อมกับช่วงล่างแบบพิเศษ Multimatic ที่พัฒนามาจากรถแข่ง
อีกหนึ่งความแตกต่างคือสปอยเลอร์ท้ายที่ให้ Downforce สูงขึ้น สามารถสร้างแรงกดได้ 390 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม. และสเปค Assetto Fiorano ยังมาพร้อมกับยาง Michelin Pilot Sport Cup2 ที่ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะบนถนนแห้ง ทั้งยังมีเนื้อยางที่นิ่มและมีพื้นที่สัมผัสกับถนนมากกว่ายางสแตนดาร์ดอีกด้วย
ระบบส่งกำลัง (POWERTRAIN)
SF90 Stradale คือรถรุ่นแรกของเฟอร์รารี่ ที่เป็นรถ PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งใช้เครื่องยนต์แบบสันดาปภายในทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดย 2 ตัว ติดตั้งไว้ที่เพลาขับหน้าฝั่งละ 1 ตัว (ซ้าย-ขวา) และทำงานแยกอิสระจากกัน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่สามคั่นอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์ที่เพลาหลัง
เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันเพื่อสร้างพละกำลังอันน่าทึ่งที่ 1,000 แรงม้า นั่นหมายถึง SF90 Stradale ไม่เพียงสร้างมาตรฐานใหม่แห่งสมรรถนะและนวัตกรรมให้กับ Ferrari เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคู่แข่งรายอื่นๆ ด้วย
เครื่องยนต์สันดาปภายใน (INTERNAL COMBUSTION ENGINE)
ขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายใน V8 เทอร์โบ 780 แรงม้า ที่อยู่ใน SF90 Stradale ยกระดับของขีดจำกัดแห่งสมรรถนะขึ้นไปอีกขั้น จุดเริ่มต้นนั้นมาจากเครื่องยนต์ตระกูล F154 ซึ่งได้รับรางวัล International Engine of the Year ถึง 4 ปีซ้อน ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อน
สิ่งที่มาพร้อมกับพลัง 195 แรงม้า/ลิตร ซึ่งเป็นอัตราส่วนสูงที่สุดในเซกเม้นต์นี้ คือแรงบิดมหาศาลถึง 800 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที และเพื่อการปลดปล่อยผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดานี้ วิศวกรของเฟอร์รารี่จึงมุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปยังส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ เริ่มจากการเพิ่มความจุจาก 3,902 ซีซี. เป็น 3,990 ซีซี. จากการขยายขนาดกระบอกสูบเป็น 88 มม.
ระบบไอดีและไอเสียได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ทั้งยังเป็นครั้งแรกของขุมพลัง V8 ที่ใช้ฝาสูบแบบใหม่ซึ่งมีขนาดเล็กลงพร้อมหัวฉีดที่ติดตั้งไว้ตรงกลางที่สร้างแรงดันได้ถึง 350 บาร์
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนอากาศในเครื่องยนต์ จึงไม่ใช่เพียงแค่การใช้วาล์วไอดีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการใช้ท่อนำอากาศแนวนอนติดตั้งไว้ส่วนบนสุดของเครื่องยนต์ เทอร์โบอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลงในขณะที่ท่อทางเดินไอเสียออกแบบให้อยู่สูงขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับปลายท่อไอเสียที่อยู่บริเวณส่วนบนของกันชนหลัง
ตัวเทอร์โบทำงานร่วมกับ Wastegate (วาล์วระบบแรงดันไอเสียส่วนเกินของเทอร์โบ เมื่อได้แรงบูสต์ตามที่กำหนดไว้แล้ว) แบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยเพิ่มความร้อนให้กับตัวกรองไอเสีย และใช้คอมเพรสเซอร์ทรงก้นหอยแบบใหม่ ที่ให้ประสิทธิภาพการดูดอากาศได้ดีกว่าเดิม
เกียร์บ๊อกซ์ (GEARBOX)
SF90 Stradale ใช้เกียร์แบบ 8 สปีด คลัทช์คู่ ที่ได้รับการออกแบบขึ้นมาใหม่หมด อัตราทดเกียร์ใหม่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นเมื่อขับใช้งานในเมืองและบนมอเตอร์เวย์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะของรถ การใช้ระบบ Dry Sump และมีชุดคลัทช์ขนาดกะทัดรัดกว่าเดิม ช่วยให้ชุดเกียร์มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมถึง 20% และยังมีความสูงลดลง 15 มม. เมื่อติดตั้งเข้าไปในรถ ส่งผลให้มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำกว่าเดิมตามไปด้วย
แม้จะมีการเพิ่มเกียร์เป็น 8 สปีด และมีแรงบิดสูงสุดถึง 900 นิวตันเมตร แต่ชุดเกียร์ก็มีน้ำหนักเบากว่าเดิม 7 กก. บวกด้วยน้ำหนักของเกียร์ถอยหลังซึ่งติดตั้งไว้กับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าอีก 3 กก.
ชุดคลัทช์แบบใหม่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากเดิม 35% สามารถรับแรงบิดได้ถึง 1,200 นิวตันเมตร และระบบไฮดรอลิกรุ่นใหม่ยังช่วยให้คลัทช์สามารถ ตัด-ต่อ การทำงานได้ในเวลาเพียง 200 มิลลิวินาที เทียบกับ 300 มิลลิวินาทีในเกียร์ของ 488 Pista
เครื่องยนต์ไฟฟ้า (ELECTRIC MOTORS)
SF90 Stradale ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว เพื่อสร้างพละกำลัง 220 แรงม้า (162 กิโลวัตต์) ใช้แบตเตอรี่ ลิเธียม-ไอออน ประสิทธิภาพสูงในการจ่ายพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสาม และสามารถขับใช้งานเฉพาะไฟฟ้าอย่างเดียวโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า
ในโหมด eDrive ได้ประมาณ 25 กม. และทำความเร็วสูงสุดได้ 135 กม./ชม. ด้วยแรง G ที่ราว 0.4G เกียร์ถอยหลังสามารถใช้ได้เฉพาะในโหมด eDrive นั่นหมายถึง รถสามารถเคลื่อนที่ในความเร็วต่ำได้โดยไม่จำเป็นต้องติดเครื่องยนต์สันดาปภายใน นอกจากนั้น มอเตอร์คู่หน้ายังถูกใช้ร่วมกับระบบ Launch Control เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้กับอัตราเร่งอีกด้วย
โหมดการใช้งาน (FUNCTION MODES)
เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมดทำงานร่วมกันเพื่อสร้างพลังระดับ 1,000 แรงม้า ทำให้ SF90 Stradale มีสมรรถนะสูงสุดในรถประเภทเดียวกัน ระบบควบคุมการทำงานจะช่วยบริหารจัดการการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับที่ผู้ขับเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นอัตราสิ้นเปลืองหรือสมรรถนะ ต้องขอบคุณสวิตช์ eManettino (คล้ายกับสวิตช์ Manettino ซึ่งใช้เลือกโหมดการขับขี่ ซึ่งติดตั้งในรถรุ่นอื่นๆ ของ Ferrari) ที่ช่วยให้ผู้ขับสามารถเลือกแหล่งพลังงานได้แตกต่างกัน 4 โหมด คือ
eDrive: เครื่องยนต์จะไม่ถูกใช้งาน และจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าของล้อหน้าเท่านั้น เมื่อเริ่มขับด้วยแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟเต็ม รถจะสามารถใช้งานได้เป็นระยะทางประมาณ 25 กม. ในโหมดนี้เหมาะสำหรับขับในเมืองหรือในขณะที่ผู้ขับไม่ต้องการให้เกิดเสียงการทำงานจากเครื่องยนต์ V8
Hybrid: นี่คือโหมดเริ่มต้นเมื่อใช้รถ ซึ่งพลังงานจะถูกบริหารให้ได้ความประหยัดสูงสุด ระบบควบคุมอัตโนมัติจะคอยตัดสินใจว่าจะติดหรือดับเครื่องยนต์ ในกรณีที่ติดเครื่อง ขุมพลัง V8 จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อมอบสมรรถนะอันทรงพลังได้ทันทีที่ผู้ขับต้องการ
Performance: ในโหมดนี้เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง จุดประสงค์เพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่มากกว่าเน้นเรื่องความประหยัด สิ่งนี้ช่วยรับประกันว่าจะมีพลังทั้งหมดให้ใช้ได้ทันทีที่ต้องการ โหมดนี้เหมาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการความสนุกในการขับขี่
Qualify: โหมดนี้จะสั่งงานให้มอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 3 ตัว ปล่อยพลังงานสูงสุดทั้ง 220 แรงม้าออกมา (ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์) ระบบควบคุมจะเน้นไปที่สมรรถนะมากกว่าการชาร์จแบตเตอรี่
พลศาสตร์ยานยนต์ (VEHICLE DYNAMICS)
ความยอดเยี่ยมของพละกำลังที่ทำได้คงไร้ประโยชน์หากไม่มีการวิจัยและพัฒนาอย่างลงลึกในเรื่องของไดนามิกส์ เพื่อให้ SF90 Stradale ทำเวลาต่อรอบในสนามได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังรับประกันได้ว่าผู้ขับทุกคนจะสามารถนำประสิทธิภาพสูงสุดของรถมาใช้ได้ทั้งหมด และด้วยความสนุกเร้าใจ
สถาปัตยกรรมไฮบริดรุ่นใหม่ จำเป็นต้องทำงานร่วมกับการควบคุมหลากหลายรูปแบบ โดยมี 3 ส่วนหลักๆ ที่เกี่ยวข้อง คือ ระบบควบคุมไฟฟ้าแรงดันสูง (แบตเตอรี่, RAC-e, MGUK, Inverter), ระบบควบคุมเครื่องยนต์กับชุดเกียร์ และระบบควบคุมไดนามิกส์ของรถยนต์ (การยึดเกาะ, เบรค และ Torque Vectoring)
การรวมระบบควบคุมทั้ง 3 ส่วนนี้ เข้ากับการทำงานของระบบควบคุมเดิมที่มีอยู่แล้ว นำไปสู่การพัฒนาระบบ eSSC (electronics Side Slip Control) ขึ้นใหม่ จนได้นวัตกรรมระบบควบคุมการขับขี่ 3 รูปแบบ ซึ่งช่วยให้สามารถกระจายแรงบิดของเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ
Electric Traction Control (eTC): จัดการแรงบิดอย่างเหมาะสม ทั้งจากเครื่องยนต์และไฟฟ้า โดยกระจายไปยังแต่ละล้อให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่และการยึดเกาะถนน
Brake-by-wire control with ABS/EBD: แยกแรงที่เกิดจากการเบรคของระบบไฮดรอลิกส์ออกจากแรงเบรคที่เกิดจากมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยให้ประสิทธิภาพของระบบเบรคดีขึ้นและให้สัมผัสที่ดีกว่าเดิม
Torque Vectoring: ทำงานที่เพลาหน้าเพื่อแบ่งถ่ายแรงบิดที่ได้จากมอเตอร์ไฟฟ้าในขณะที่รถกำลังเข้าโค้ง เพื่อให้รถมีประสิทธิภาพการยึดเกาะสูงสุดและช่วยให้ควบคุมรถได้ง่ายดาย, มั่นใจ เมื่อขับขี่ด้วยความเร็ว
อากาศพลศาสตร์ (AERODYNAMICS)
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการรังสรรค์แอโรไดนามิกส์ให้กับ SF90 Stradale เกิดจากความต้องการที่จะทำให้รถมีดาวน์ฟอร์ซและประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ในขณะเดียวกันก็ต้องรับประกันได้ว่าระบบย่อยทั้งหมดของแหล่งพลังงานใหม่ (เครื่องยนต์สันดาปภายใน, มอเตอร์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่และอินเวอร์เตอร์) จะทำงานได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
และเหมือนเช่นเคย… แผนกอากาศพลศาสตร์ทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมออกแบบของ Ferrari และความร่วมมือนี้ทำให้เกิดดาวน์ฟอร์ซและประสิทธิภาพที่ไม่มีรถคันใดในเซกเม้นต์เดียวกันจะเทียบชั้นได้ นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเขาประสบความสำเร็จภายใต้แบบฉบับเฉพาะตัวของ Ferrari นั่นคือ “ตัวรถได้รับการปั้นแต่งขึ้นอย่างพิถีพิถัน แทนที่จะใช้การเพิ่มอุปกรณ์ง่ายๆ เข้าไป”
สุดท้ายคือระบบระบายความร้อนสำหรับเบรค ที่ออกแบบให้ตรงตามสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นของรถเฟอร์รารี่ ได้พัฒนาคาลิเปอร์เบรคหน้าขึ้นใหม่ ด้วยการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ Brembo และมีการนำมาใช้กับรถถนนเป็นครั้งแรก
ตัวคาลิเปอร์มีรูปทรงแอโรไดนามิกส์เพื่อช่วยดึงอากาศที่ไหลมาจากปล่องดูดอากาศใต้ไฟหน้าเข้ามาระบายความร้อนให้กับผ้าเบรคและดิสก์ได้โดยตรง ส่วนเบรคหลังรับอากาศจากช่องรับลมที่อยู่ใกล้กับล้อคู่หลังใต้ท้องรถ มาระบายความร้อน
ล้อฟอร์จแบบเป่าลมระบายความร้อน (FORGED WHEELS WITH BLOWN GEOMETRY)
รูปทรงของล้อที่ผลิตด้วยกรรมวิธีฟอร์จ ได้รับการวิจัยทางด้านอากาศพลศาสตร์เป็นพิเศษ ผลิตขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีทางด้านโครงสร้างที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านแอโรไดนามิกส์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
รูปทรงเฉพาะตัวของล้อทั้งสี่ประกอบด้วยส่วนที่เป็นแฉกบริเวณด้านนอกที่มีระยะห่างเท่าๆ กันในทุกๆ ก้านล้อ และออกแบบให้ทำหน้าที่เหมือนใบพัด ซึ่งให้ประสิทธิภาพอย่างมากในการจัดเรียงการไหลของอากาศด้านในซุ้มล้อ ทั้งยังส่งผลดีสองส่วนหลักๆ คือ เพิ่มการระบายอากาศออกจากซุ้มล้อ และสร้างแรงดูดซึ่งส่งผลดีต่อการไหลของอากาศที่ผ่านมาจากดิฟฟิวเซอร์ด้านหน้า จึงสร้างดาวน์ฟอร์ซได้มากยิ่งขึ้น
อากาศที่ออกมาจากล้อ จะไหลเรียงตามแนวยาวไปตลอดด้านข้างของตัวรถ ช่วยลดลมเบี่ยงเบนที่เกิดจากมวลอากาศซึ่งออกมาจากมุมหนึ่งไปกระทำกับทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ จึงช่วยลดแรงเสียดทานลงได้อีกทางหนึ่ง
การออกแบบ (DESIGN)
SF90 Stradale คือยนตรกรรมที่ล้ำหน้าที่สุดทั้งในด้านสมรรถนะและเทคโนโลยี คำจำกัดความของการออกแบบตัวรถนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลักการ เพื่อสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ที่รุดหน้าและเป็นนวัตกรรมการออกแบบซึ่งส่งต่อความเป็นสปอร์ตคาร์ที่สุดขั้ว
Ferrari Design เติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับด้านหน้า, กลาง และท้ายรถ ตามวิถีทางแห่งการพัฒนาอันลึกซึ้งตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีในการสร้างรถยนต์ Ferrari เครื่องยนต์วางกลางลำ
จุดมุ่งหมายคือการออกแบบรถสุดล้ำที่สามารถมอบประสิทธิภาพซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของรถยนต์จากค่ายม้าลำพอง SF90 Stradale อยู่คั่นกลางระหว่างรถคูเป้เครื่องกลางลำในปัจจุบันอย่าง F8 Tributo และซูเปอร์คาร์อย่าง LaFerrari ทั้งยังเป็นผู้กุมมาตรฐานของยนตรกรรมที่มีเทคโนโลยีสุดขั้วที่มาพร้อมกับรูปโฉมแห่งอนาคต
การออกแบบภายนอก (EXTERIOR)
สถาปัตยกรรมของ SF90 Stradale ประกอบด้วยห้องโดยสารซึ่งจัดวางไว้ก่อนถึงเครื่องยนต์ที่ติดตั้งไว้กลางตัวรถ เอื้อให้ Flavio Manzoni และทีมออกแบบของเขาที่ Ferrari Style Centre ได้มีโอกาสแสดงฝีมือรังสรรค์ซูเปอร์คาร์ขนานแท้ตามรูปแบบที่สมบูรณ์ลงตัว
โอเวอร์แฮงก์ที่สั้นลง (ด้านหลังสั้นกว่าด้านหน้า) และห้องโดยสารที่เยื้องมาด้านหน้า เน้นย้ำให้เห็นถึงความเป็นรถยนต์เครื่องวางกลางลำ จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำเป็นพิเศษเอื้ออำนวยให้ผู้ออกแบบสามารถจัดวางพื้นที่ห้องโดยสารได้ต่ำลงอีก 20 มม. เมื่อผนวกเข้ากับกระจกหน้าที่มีความโค้งมากขึ้น, เสา A ที่บางเฉียบ และฐานล้อกว้าง จึงกำเนิดเป็นยนตรกรรมที่มีรูปโฉมสละสลวยงดงาม
ห้องโดยสารทรงกลมขนาดกะทัดรัด มีดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงค็อกพิทของเครื่องบิน และข้อเท็จจริงก็คือ มันได้รับการจัดวางเยื้องมาทางด้านหน้า ทั้งยังเน้นให้เห็นถึงความโดดเด่นด้วยการตัดสีเพื่อแยกออกจากส่วนท้ายของรถ
อีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือไฟหน้าที่หันหลังให้กับรูปทรงตัว L เปลี่ยนมาเป็นดีไซน์แบบช่องเรียวยาวบางเฉียบ พร้อมช่องดักอากาศทรงตัว C สำหรับไประบายความร้อนให้ระบบเบรค ช่วยให้ด้านหน้ารถสวยงามดึงดูดทุกสายตา และ SF90 Stradale ยังติดตั้งไฟหน้าเทคโนโลยี Matrix LED พร้อมการทำงานแบบแอคทีฟ เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยที่ชัดเจนในทุกสภาพการขับขี่
ส่วนท้ายของรถโดดเด่นด้วยปลายท่อไอเสียที่ติดตั้งไว้ในตำแหน่งสูง ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเลย์เอาท์ของระบบไอเสีย และเพราะระบบขับเคลื่อนจัดวางในตำแหน่งที่ต่ำกว่าที่ผ่านมา จึงสามารถออกแบบส่วนท้ายของรถให้ต่ำลงได้ตามไปด้วย อีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบดั้งเดิม
สำหรับ Ferrai SF90 Stradale เรียกได้ซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ที่น่าสนใจมากๆ เพราะนอกจากจะมีการปรับปรุงส่วนต่างๆ ของตัวรถให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว ยังมีดีไซน์ที่โฉบเฉียว โดดเด่น ยิ่งกว่าเดิม
ส่วนจะมีรถคันใหม่ จากค่ายใหม่ๆ มาโค่นแชมป์ความว้าวนี่ได้หรือเปล่า เราอาจจะต้องรอติดตามกันต่อในอีกครึ่งปีหลังจากนี้กันดีกว่า! นอกจากนวัตกรรมต่างๆ ที่ช่วยให้รถยนต์ปลอดภัยมากขึ้นแล้ว อย่าลืมเรื่องของการเช็คประกันรถด้วยล่ะ เพราะรถประเภทซูเปอร์คาร์ซ่อมที มีหนาวแน่!
ขอบคุณบทความจาก autospinn
นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct