พ่นกันสนิม คือ อะไร ในยุคสมัยปัจจุบันยังจำเป็นไหม และมีราคาเท่าไหร่
ในอดีตเมื่อหลายปีก่อนผู้ใช้งานรถยนต์หลายคน ต่างมีความกังวลเกี่ยวกับการพ่นกันสนิมเป็นจำนวนมาก ซึ่งความคิดเกี่ยวกับเรื่องป้อกันสนิมในผู้รักรถนั้น ปัจจุบันก็ยังมีคนที่พยายามหาวิธีป้องกันให้ได้มากที่สุดอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยวิธีการพ่นกันสนิม กับนวัตกรรมที่บริษัทผลิตรถยนต์ต่าง ๆ ได้พัฒนาขึ้นเองนับว่ามีส่วนช่วยในการป้องกันสนิมมากแล้ว ฉะนั้นเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการพ่นกันสนิมว่าการพ่นกันสนิม จำเป็นไหม ถ้าต้องการใช้งานจะเหมาะกับใครบ้าง พ่นกันสนิม ราคาเท่าไหร่ และมีข้อควรระวังอย่างไรเมื่อต้องการใช้บริการ ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้ตัดสินใจในเรื่องพ่นกันสนิมให้จริงจังเสียที
พ่นกันสนิม คือ อะไร
พ่นกันสนิม คือ การพ่นน้ำยาป้องกันสนิมไปยังพื้นที่ใต้ท้องรถหรือตามซุ้มล้อรถยนต์ เพื่อป้องกันไม่ให้สนิมขึ้นในบริเวณดังกล่าว ส่วนบริเวณอื่นของตัวรถยนต์จะไม่มีการพ่นกันสนิมเพิ่มเติม เนื่องจากทางบริษัทรถยนต์ได้มีนวัตกรรมสำหรับกาพ่นกันสนิมมาก่อนอยู่แล้ว ทำให้เราไม่มีความจำเป็นต้องนำไปพ่นในส่วนอื่นเพิ่มเติมแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อได้ยินข้อความเกี่ยวกับการพ่นป้องกันการเกินสนิม จะหมายถึงการพ่นใต้ท้องรถเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ประเภทน้ำยาพ่นกันสนิม
ประเภทน้ำยาพ่นกันสนิม โดยพื้นฐานแล้วจะแบ่งได้ 2 ประเภทหลัก คือ สูตรน้ำ และสูตรทินเนอร์ ซึ่งทั้ง 2 สูตรจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไปตามคุณสมบัติของสารผสม ที่อยู่ภายในน้ำยาพ่นกันสนิม ปแต่ปัจจุบันมีความนิยมในการเลือกใช้งานสูตรน้ำเป็นมาตรฐาน เนื่องจากมีสารระเหยเป็นสารอินทรีย์ที่เป็นพิษต่ำกว่าสูตรทินเนอร์ แถมระบบที่ใช้ในการพ่นของสูตรน้ำ ตัวทำละลายยังมีส่วนกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในโลกน้อยที่สุดอีกต่างหาก จึงสามารถสรุปข้อดีข้อเสียข้องน้ำยาพ่นกันสนิมได้ดังนี้
ข้อดีข้อเสีย พ่นกันสนิมสูตรน้ำ
ข้อดี
- ให้คุณภาพที่ดีทั้งเรื่องสีสัน ความสวยงามที่คงทน ไม่หลุดลอกง่าย
- กลิ่นไม่เหม็น ไม่รบกวนพื้นที่ข้างเคียงหรือผู้พ่น
- ไม่มีสารระเหยที่เป็นอันตราย ปลอดภัยต่อผู้คน
- ไม่มีสารระเหยที่เป็นเชื้อไฟ หรือติดไฟง่าย
- สามารถทนความร้อนได้สูง
- ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีตัวทำละลาย ไม่ต้องมีสารเคมีมาผสม
ข้อเสีย
- มีราคาต้นทุนที่ค่อนข้างสูง
- เนื้อสัมผัสน้ำยาค่อนข้างข้น หนืด ทำให้แห้งยากในช่วงหน้าฝน
ข้อดีข้อเสีย พ่นกันสนิมสูตรทินเนอร์
ข้อดี
- มีราคาต้นทุนที่ถูกกว่าสูตรน้ำมาก
- ให้ความเงางามได้มากที่สุด
- สามารถแห้งได้เร็วเนื่องจากมีการใช้สารระเหยเป็นตัวทำละลาย
ข้อเสีย
- มีการใช้ทินเนอร์ซึ่งเป็นสารระเหยที่ค่อนข้างอันตราย ต้องมีการควบคุมการใช้งาน
- หากสูดดมเป็นระยะเวลานานจะส่งผลอันตรายหลายอย่าง เช่น เจ็บคอ แสบจมูก ไอ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ วิงเวียน หมดสติ และยังมีผลกระทบเรื้อรังด้วยเช่นกัน
สรุปแล้วพ่นกันสนิม จำเป็นไหม
สรุปแล้วพ่นกันสนิม จำเป็นไหม คำตอบ คือ ไม่จำเป็น เนื่องจากการพ่นกันสนิมอย่างที่เราได้นำเสนอข้อมูลไป จะเป็นการพ่นเฉพาะบริเวณใต้ท้องรถ ช่วงล่าง หรือซุ้มล้อรถยนต์เท่านั้น ถ้าหากรถยนต์ของเราไม่ได้มีการใช้งานที่หนักหน่วง ไม่ได้วิ่งบนถนนลูกรังจนมีความเสี่ยงถูกเศษหินดีดกระแทกบ่อยครั้ง ไปจนถึงการใช้งานในพื้นที่ใกล้ติดทะเล ซึ่งมีความเสี่ยงเกิดสนิมได้ง่าย รวมถึงรถยนต์ที่เคยประสบอุบัติเหตุจนต้องมีการเคาะพ่นสีมาใหม่ สามารถพิจารณาเพิ่มเติมการพ่นกันสนิมได้เช่นเดียวกัน
พัฒนาการป้องกันสนิมบนตัวรถยนต์
พอเราได้ทราบแล้วว่าการพ่นกันสนิมไม่จำเป็นกับรถยนต์ทุกคัน เพราะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์มีนวัตกรรมการป้องกันสนิมที่พัฒนาขึ้นอย่างมาก ด้วยการนำเหล็กที่ใช้งานประกอบรถยนต์ ไปชุบสารฟอสเฟตเพื่อลดการออกไซด์บนผิวเหล็ก ลดโอกาสการเกิดสนิมได้ดีมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากชุบฟอสเฟต ก็จะมีการนำไปอบไล่ความชื้นด้วยความร้อน ต่อเนื่องด้วยการนำไปชุบเคลือบในบ่อสี ใช้กระแสไฟฟ้าเป็นตัวชักนำ เพื่อให้ตัวสียึดเกาะได้มีประสิทธิมากกว่าเดิม ภาพรวมกระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมา จะช่วยให้ตัวรถยนต์ของเราในสมัยปัจจุบัน มีการป้องกันสนิมที่ดีมากอยู่แล้ว วิธีการพ่นกันสนิม จึงไม่จำเป็นอย่างในอดีตเมื่อหลาย 10 ปีก่อนนั่นเอง
พ่นกันสนิมเหมาะสมกับใคร
พ่นกันสนิมเหมาะกับสมใคร คนที่พอจะพิจารณาการพ่นเพื่อป้องกันสนิมเพิ่มเติม อาจเป็นผู้ที่ใช้งานรถยนต์ค่อนข้างหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นคนที่เดินทางข้ามจังหวัดบ่อย ต้องบรรทุกของหนัก หรือมีโอกาสวิ่งในแถบที่ถนนขรุขระเป็นพิเศษ จนถึงผู้ที่ใช้งานรถยนต์เป็นประจำในพื้นที่ใกล้ทะเล ทั้งหมดนี้ควรได้รับการพิจารณาพ่นกันสนิมเพิ่มเติม เพื่อป้องกันให้ได้มากที่สุดจากมาตรฐานเดิมที่ทางผู้ผลิตรถยนต์ได้ทำมาให้เราแล้วระดับหนึ่ง
พ่นกันสนิม ราคาเท่าไหร่
พ่นกันสนิม ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 2,500 บาทไปจนถึง 7,000-8,000 บาท ขึ้นอยู่กับตัวน้ำยาพ่นกันสนิมที่แต่ละผู้ให้บริการใช้งาน รวมถึงค่าแรง พื้นที่ในการพ่น และค่าดูแลด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม ก่อนจะตัดสินใจพ่นกันสนิมอย่างจริงจัง อย่าลืมนำรถยนต์ของเราเข้าไปเช็กที่ร้านเพื่อรับการตีราคา และดูตามความเหมาะสมอีกที
ข้อควรระวังในการพ่นกันสนิม
ข้อควรระวังในการพ่นกันสนิม ได้แก่ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับระบบเซนเซอร์ของรถยนต์ เนื่องจากส่วนผสมภายในน้ำยาพ่นกันสนิมบางตัว อาจเข้าไปเกาะติดอยู่กับเซนเซอร์ของรถยนต์ ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ถ้าเกิดความผิดพลาดตรงนี้ขึ้นมา จะต้องนำรถยนต์ไปซ่อมแก้ไขปัญหาบางจุดที่หาได้ค่อนข้างยาก กลายเป็นลำบากมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว และต้องป้องกันการพ่นให้ดี เพราะนอกเหนือจากเรื่องเซนเซอร์แล้ว ยังต้องห้ามพ่นไปโดนวัสดุที่เป็นยางอีกด้วย ไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมได้เช่นกัน ส่วนจุดที่มีความเสี่ยง เช่น ยางหุ้มเพลา ยางลูกหมาก ยางหุ้มโช้ค เป็นต้น
รถเป็นสนิม เคลมประกันได้ไหม
รถเป็นสนิม เคลมประกันได้ไหม คำตอบ คือ ไม่สามารถเคลมได้ ต่อให้เป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 ก็ไม่สามารถเคลมได้ในกรณีที่จู่ ๆ ก็เกิดสนิมขึ้นมาเอง ต้องติดต่อกับทางศูนย์ให้บริการรถยนต์อีกทีหนึ่งว่าสามารถแก้ไขให้ได้อย่างไรบ้าง ส่วนกรณีที่จะสามารถเคลมประกันได้ ต้องมาจากการเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทางประกันภัยจะออกใบเคลมให้เรานำรถยนต์ไปซ่อมสีที่ศูนย์บริการ หรืออู่ในเครือตามเงื่อนไขกรมธรรม์ และหลังจากที่ผ่านการซ่อมสีตัวถังมาแล้วเรียบร้อย มีสนิมเกิดขึ้นภายหลังจากการซ่อมสี เราสามารถนำหลักฐานการซ่อมแซม ไปแจ้งกับประกันภัยเพื่อรับการซ่อมสีอีกครั้งได้ทันที แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบริษัทประกันภัยที่มีเงื่อนไขการให้บริการแตกต่างกันออกไปอีกทีหนึ่งด้วย
รถเป็นสนิม ต้องพ่นสนิท ประกันรถยนต์แต่ละชั้นคุ้มครองอย่างไร
การที่รถยนต์เป็นสนิมและต้องพ่นกันสนิม ถือเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการสึกหรอและเสื่อมสภาพตามการใช้งาน ซึ่งการคุ้มครองขึ้นอยู่กับประเภทของประกันรถยนต์ที่คุณทำไว้ โดยทั่วไป ประกันแต่ละชั้นจะมีเงื่อนไขเกี่ยวกับการคุ้มครองดังนี้:
ประกันชั้น 1
- ประกันชั้น 1 มักจะครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การชน, น้ำท่วม, ไฟไหม้ แต่สำหรับการเป็นสนิม ซึ่งถือว่าเป็นการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติหรือการใช้งานปกติ มักจะไม่ครอบคลุม
- อย่างไรก็ตาม หากสนิมเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ประกันครอบคลุม เช่น น้ำท่วมหรือไฟไหม้ อาจสามารถเคลมได้บางส่วน
ประกันชั้น 2 และ 2+
- ประกันชั้น 2 คุ้มครองอะไรบ้าง ประกันรถยนต์ชั้น 2 จะคุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุเฉพาะกรณีที่มีคู่กรณีและภัยที่กำหนด เช่น ไฟไหม้หรือการสูญหาย แต่จะไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของรถ เช่น การเป็นสนิม
- ประกันชั้น 2+ จะให้ความคุ้มครองมากกว่าในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมการเสื่อมสภาพตามการใช้งานเช่นการเป็นสนิม
ประกันชั้น 3 และ 3+
- ประกันรถยนต์ชั้น 3 คุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อคู่กรณีและไม่คุ้มครองตัวรถของคุณ ดังนั้น การเป็นสนิมจะไม่สามารถเคลมได้
- ประกัน3+ อาจครอบคลุมความเสียหายต่อรถของคุณในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ แต่ยังไม่ครอบคลุมการซ่อมแซมสนิมที่เกิดจากการเสื่อมสภาพ
การเป็นสนิมของรถยนต์ที่เกิดจากการใช้งานหรือการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ไม่ครอบคลุม ในทุกชั้นของประกัน เพราะถือว่าเป็นการบำรุงรักษาและการดูแลปกติของเจ้าของรถ แต่ถ้าสนิมเกิดจากเหตุการณ์ที่ประกันครอบคลุม เช่น น้ำท่วม อาจสามารถเคลมได้บางส่วนเฉพาะในประกันชั้น 1
ดังนั้นถ้าใครมีความกังวลเกี่ยวกับการเกิดสนิมบนตัวรถยนต์ในจุดไหน หากเทียบการใช้งานรถยนต์แล้วอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงรถยนต์เกิดสนิม ก็สามารถเลือกพ่นกันสนิมในจุดที่เป็นรู้สึกกังวลได้ตามต้องการ เพราะหลังจากที่พ่นป้องกันเรียบร้อย รถยนต์ของเราจะได้รับการปกป้องเพิ่มขึ้นอีกชั้น ซึ่งโดยปกตินวัตกรรมการป้องกันสนิมจากทางผู้ผลิตรถยนต์ สามารถใช้งานได้ราว ๆ 10 ปีขึ้นไปเลยทีเดียว ส่วนใครที่ต้องการพิจารณาทำประกันรถยนต์ เผื่อเอาไว้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน ที่สามารถดูแลได้ทั้งเรื่องการทำสีรถยนต์ให้เหมือนใหม่ไร้สนิม และยังมีส่วนช่วยดูแลคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ไปจนถึงทรัพย์สินส่วนต่าง ๆ
สามารถเข้ามาขอคำปรึกษาข้อมูลประกันรถยนต์ได้โดยจาก แรบบิท แคร์ เพราะเรามีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านเบอร์โทร 1438 ยิ่งไปกว่านั้นบริการประกันรถยนต์ของเรา ยังมีตัวเลือกให้คุณพิจารณามากถึง 30 บริษัทประกันภัยชั้นนำระดับประเทศ ซึ่ง แรบบิท แคร์ พร้อมมอบความพิเศษเป็นส่วนลดช่วยประหยัดสูงสุดถึง 70% และสามารถเลือกผ่อน 0% ได้นาน 10 เดือน
สรุป
พ่นกันสนิม คือ การพ่นน้ำยาป้องกันสนิมไปยังพื้นที่ใต้ท้องรถหรือตามซุ้มล้อรถยนต์ เพื่อป้องกันไม่ให้สนิมขึ้น แบ่งได้ 2 ประเภทหลัก คือ สูตรน้ำและสูตรทินเนอร์ ซึ่งมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไปตามคุณสมบัติของสารผสม ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 2,500 – 8,000 บาท ขึ้นอยู่กับตัวน้ำยาพ่นกันสนิมที่แต่ละผู้ให้บริการใช้งาน รวมถึงค่าแรง พื้นที่ในการพ่น และค่าดูแลด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่งการพ่นสนิมรถยนต์จะเหมาะกับผู้ที่ใช้งานรถยนต์ค่อนข้างหนัก ไม่ว่าจะเป็นคนที่เดินทางข้ามจังหวัดบ่อย ต้องบรรทุกของหนัก หรือมีโอกาสวิ่งในแถบที่ถนนขรุขระเป็นพิเศษ จนถึงผู้ที่ใช้งานรถยนต์เป็นประจำในพื้นที่ใกล้ทะเล
ที่มา
Thirakan Thongseenual เป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี ที่ RabbitCare และ Asia Direct โดยมีความชำนาญในประกันรถยนต์ เน้นเขียนบทความที่เผยแพร่บน Blog และมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO กว่า 4 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างความรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ RabbitCare อย่างมีประสิทธิภาพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาตรี สาขา Information Technology