ยางรถไฟฟ้า กับ ยางรถยนต์ทั่วไป แตกต่างกันอย่างไร ปัจจุบันราคาเท่าไหร่
ขึ้นชื่อว่ายางรถยนต์ต่อให้เป็นประเภทเดียวกันก็มีคุณสมบัติต่างกัน ฉะนั้นระหว่างยางรถไฟฟ้ากับยางรถยนต์ธรรมดาทั่วไป ย่อมมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เนื่องด้วยวัตถุประสงค์การใช้งานบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป ทำให้คนที่กำลังวางแผนซื้อรถไฟฟ้า EV สักคัน ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับยางรถไฟฟ้า หรือยางรถ EV ให้รอบคอบก่อน เพื่อที่เราจะได้สามารถดูแลยางรถได้เป็นอย่างดี ช่วยรักษาอายุการใช้งานให้ยาวนาน รวมถึงช่วงเวลาที่ต้องเปลี่ยน และหากยางรถไฟฟ้ารั่วขึ้นมา มีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง แรบบิท แคร์ ได้เตรียมคำตอบมาให้แล้วตามเนื้อหาดังต่อไปนี้
ยางรถไฟฟ้า คือ อะไร
ยางรถไฟฟ้า หรือ ยางรถ EV คือ ยางรถยนต์แบบพิเศษที่มีการออกแบบมาให้ถูกลักษณะต่อการใช้งานกับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีแรงบิดสูงกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นในรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการติดตั้งแบตเตอรีสำรอง เพื่อให้มีระยะการเดินทางที่ค่อนข้างไกลนั้นยังถือเป็นการเพิ่มน้ำหนักตัวรถ ให้มากขึ้นกว่ารถยนต์ทั่วไป 10-20% เลยทีเดียว ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น จึงมีผลกระทบต่อจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ เลยต้องมีการผลิตยางแบบพิเศษขึ้นมา ให้สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง
ปัจจุบันมีแบรนด์ไหนผลิตยางรถไฟฟ้าบ้าง
ปัจจุบันยางรถไฟฟ้ามีแบรนด์ดังเริ่มต้นผลิตออกมาจัดจำหน่ายมากถึง 10 แบรนด์ด้วยกัน เช่น Bridgestone, Goodyear, MICHELIN, Hankook, Yokohama, Firestone, Pirelli และ Continental แต่ถึงแม้ว่าจะมีแบรนด์ที่ผลิตยางรถไฟฟ้าขึ้นมาเป็นจำนวนมากกว่าเก่า ในเรื่องของสเปก หรือรุ่นยางที่ออกมา ยังไม่มีความหลากหลายมากเท่าไหร่นัก ต้องรอให้ตลาดรถไฟฟ้าโตขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย เพื่อให้มีความต้องการในตลาดเพิ่มมากขึ้น เราคงมีโอกาสได้เห็นสเปกยางรถ EV ที่น่าสนใจอีกมากมาย
ยางรถ EV ราคาเริ่มต้นประมาณ 10,000 บาทต่อเส้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงอย่างมากหากเทียบกับยางรถยนต์ทั่วไป ที่เฉลี่ยแล้วจะอยู่ในเรทราคาเพียง 2,000-7,000 บาทต่อเส้น ขึ้นอยู่กับสเปกและคุณภาพของยางอีกทีหนึ่ง
ความต่างของยางรถไฟฟ้ากับยางรถยนต์ทั่วไป
เปรียบเทียบความต่างของยางรถไฟฟ้ากับยางรถยนต์ทั่วไป ทั้งหมด 5 ด้านด้วยกัน คือ ความทนทานต่อแรงบิด, เสียงรบกวนที่น้อยกว่า, การยึดเกาะถนน, แรงต้านการหมุนต่ำ ใช้พลังน้อย วิ่งไกลขึ้น และสามารถรองรับน้ำหนักได้เป็นพิเศษ เพราะเหตุผลที่เราได้กล่าวไปในหัวข้อด้านบน ทำให้ความแตกต่างจะเน้นไปที่คุณสมบัติที่ให้ประสิทธิภาพยางได้ดีกว่า ส่วนรายละเอียดความแตกต่างในแต่ละด้านของยางรถไฟฟ้ากับยางรถยนต์ธรรมดา ติดตามอ่านได้จากหัวข้อย่อยทั้ง 5 ต่อจากนี้เลย
ยางรถ EV ทนทานต่อแรงบิดมากกว่า
ยางรถไฟฟ้าสามารถทนต่อแรงบิดได้มากกว่า เพราะมอเตอร์ของรถไฟฟ้ามีแรงบิดที่สูงกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป หมายความว่าถ้าแรงบิดสูง แล้วยังเลือกใช้ยางรถยนต์แบบปกติธรรมดา อาจทำให้เกิดการสึกหรอเร็วขึ้น จึงมีการออกแบบยางใหม่ขึ้นมาให้เหมาะสมรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น มีความหนาเป็นพิเศษ ออกแบบตัวยาง ดอกยางใหม่ทั้งหมด รวมถึงมีการเลือกใช้สารประกอบยางที่พิเศษขึ้นด้วย
ยางรถ EV เสียงรบกวนน้อยกว่า
ยางรถไฟฟ้ามีเสียงรบกวนที่น้อยกว่า เพราะการทำงานของมอเตอร์รถไฟฟ้าเองก็มีเสียงที่เงียบมากอยู่แล้ว ดังนั้นการออกแบบยางจึงต้องเน้นการซับเสียงให้เงียบเป็นพิเศษ มีดีไซน์ใหม่ตั้งแต่เรื่องดอกยาง, เพิ่มสารประกอบดูดซับเสียง หรือในบางรุ่นผู้ผลิตมีการนำโฟมซับเสียงใส่เพิ่มเติมเข้าไปอีก
ยางรถ EV มีการยึดเกาะถนนได้ดี
ยางรถไฟฟ้ามีการยึดเกาะถนนได้ดี โดยอ้างอิงจากเรื่องเหตุผลแรงบิดเช่นเดิม พอแรงบิดมาก แปลว่าสามารถวิ่งด้วยความเร็วและแรงมาก ทำให้ต้องออกแบบมารองรับแรงเสียดทานที่มากขึ้น พร้อมกับการยึดเกาะถนนที่ดีกว่าเดิม ไหนจะมีเรื่องระบบ Regenerative Braking ที่จะหน่วงรถไฟฟ้าเมื่อมีการชะลอความเร็ว ยางรถไฟฟ้าเลยต้องมีคุณสมบัติที่ทำงานร่วมกับระบบนี้ได้ดีเช่นกัน
ยางรถ EV มีแรงต้านการหมุนต่ำ ใช้พลังน้อย ทำให้วิ่งได้ไกลขึ้น
ยางรถไฟฟ้ามีแรงต้านการหมุนต่ำ ส่งผลให้ใช้พลังงานน้อยลง มีระยะทางวิ่งได้ไกลขึ้น ตามจุดประสงค์การประหยัดพลังงานให้มีระยะทางวิ่งได้ดีต่อปริมาณแบตเตอรี
ยางรถ EV รองรับน้ำหนักได้ดีเป็นพิเศษ
ยางรถไฟฟ้ารองรับน้ำหนักได้ดีเป็นพิเศษ เพราะน้ำหนักรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงกว่ารถทั่วไป 10-20% จากการติดตั้งแบตเตอรีเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งการตรวจเช็กน้ำหนักที่รับได้ของยางแต่ละรุ่น สามารถดูได้จากค่า Load Index หรือ ดัชนีรับน้ำหนักของยาง
สรุปภาพรวมเรื่องความแตกต่างของยางรถไฟฟ้ากับยางรถยนต์ทั่วไป ค่อนข้างมีความต่างกันมากในเรื่องการใช้งาน ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ เพราะถ้าหากนำมาใช้ร่วมกัน อาจส่งผลให้ยางเสื่อมประสิทธิภาพเร็วขึ้น อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการที่ยางเสียหาย ไปจนถึงการใช้งานรถไฟฟ้าที่อาจมีประสิทธิภาพลดลงเช่นเดียวกัน
วิธีดูแลรักษายางรถไฟฟ้า
วิธีดูแลรักษายางรถไฟฟ้าขั้นพื้นฐาน จะเหมือนกันกับการดูแลยางรถยนต์ทั่วไป แต่อาจต้องไปรับความใส่ใจเป็นพิเศษจากเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะมีวิธีดูแลเบื้องต้นประมาณ 4 ข้อด้วยกัน
- เช็กลมยางสม่ำเสมอ ต้องเติมลมให้อยู่ในระดับเหมาะสม ตามสเปกยางที่ระบุเอาไว้
- เช็กสภาพยางบ่อย ๆ โดยเฉพาะใครที่ใช้งานบ่อยครั้ง ต้องดูเรื่องการสึกหรอ การเสื่อมสภาพไว้ด้วย
- เช็กอาการระหว่างขับขี่ ว่ามีสัมผัส หรือเสียงผิดแปลกเข้ามาในห้องโดยสารให้เราได้ยินหรือไม่ หากพบอาการผิดปกติ ต้องรีบเข้ารับการตรวจเช็กโดยละเอียดทันที
- ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนยางใหม่ เพราะศูนย์ถ่วงรถไฟฟ้าแตกต่างจากรถทั่วไป อาจมีกระบวนการที่ไม่เหมือนกัน
หากเราดูแลยางรถไฟฟ้าตามที่แนะนำเป็นประจำอยู่แล้ว เราก็จะมีโอกาสได้ใช้งานยางรถที่มีประสิทธิภาพดีอย่างต่อเนื่อง และยาวนานตามอายุการใช้งานของยาง โดยเฉพาะเรื่องการเติมลมไม่ควรละเลยโดยเด็ดขาด
ระยะเวลาที่ควรเปลี่ยนยางรถไฟฟ้า
ระยะเวลาที่ควรเปลี่ยนยางรถไฟฟ้า คือ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน แต่สำหรับมาตรฐานแล้วยางของรถไฟฟ้านั้นสามารถใช้งานได้นานถึง 5 ปีเลยทีเดียว เพราะมีการออกแบบมาให้มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพที่สูงกว่ายางรถยนต์ทั่วไปอยู่แล้ว
หากยางรถไฟฟ้าเกิดรั่วขึ้นมาต้องทำอย่างไร
กรณีที่เรารู้สึกว่ายางรถไฟฟ้ารั่วขึ้นมา ต้องเช็กก่อนเลยว่ารถไฟฟ้าของคุณมีระบบ Temp Pressure Monitoring Sensor (ระบบวัดแรงดันลมยาง) อยู่หรือไม่ หากมีไม่ควรฝืนขับต่อไป เพราะอาจทำให้เซ็นเซอรืระบบนี้เกิดความเสียหาย กลายเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหลายส่วนมากขึ้น หลังจากนั้นให้ทำการติดต่อศูนย์รถยนต์ที่ช่วยเหลือดูแลฉุกเฉินบนท้องถนน เพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาช่วยดูแลโดยด่วน ที่สำคัญไม่ควรนำรถไปปะยางกับอู่ที่ขาดประสบการณ์ดูแลยางรถไฟฟ้า เนื่องจากโครงสร้างยางที่ซับซ้อนกว่าปกติ แถมยังเปราะบางหลายจุด หลังซ่อมแล้วอาจจะยังไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร
ข้อมูลเรื่องยางรถไฟฟ้าทั้งหมดที่กล่าวไป ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า EV ในปัจจุบันและอนาคตควรรู้ให้ครอบคลุมมากที่สุด เพื่อการดูแลที่เหมาะสม ไปจนถึงการเตรียมพร้อมรับมือแก้ปัญหาที่ถูกต้องด้วย ซึ่งถ้าใครเกิดปัญหารั่ว ถึงขั้นต้องเปลี่ยนยาง อย่างที่เรานำเสนอไปว่า ยางรถ EV ราคาสูงมากต่อเส้น กรณีที่หมดการรับประกันเราต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงหน่อย แต่หากใครยังอยู่ในประกันยางก็อาจได้รับความคุ้มครองไปตามเงื่อนไข
ส่วนใครที่อยากให้รถยนต์ไฟฟ้าของเราได้รับความคุ้มครอง ไปจนถึงยางรถไฟฟ้า เพื่อเตรียมไว้รับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แรบบิท แคร์ สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับประกันรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างครบถ้วน พร้อมกับนำเสนอตัวเลือกจากบริษัทประกันภัยชั้นนำกว่า 30 ราย และยังมีความพิเศษที่ช่วยคุณประหยัดได้สูงสุดถึง 70% อีกด้วย มีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือติดต่อซื้อประกัน โทรเข้ามาได้เลยที่เบอร์ 1438 (โทรได้ 24 ชั่วโมง)
Thirakan Thongseenual เป็นนักเขียนที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี ที่ RabbitCare และ Asia Direct โดยมีความชำนาญในประกันรถยนต์ เน้นเขียนบทความที่เผยแพร่บน Blog และมีความเชี่ยวชาญด้าน SEO กว่า 4 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้ใช้ในการสร้างความรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของ RabbitCare อย่างมีประสิทธิภาพ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาตรี สาขา Information Technology