แคร์ไลฟ์สไตล์

บ้านถูกน้ำท่วม เคลมประกันไหนได้บ้าง

ผู้เขียน : คะน้าใบเขียว
คะน้าใบเขียว

นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct

close
linkedin icon
แก้ไขโดย : Tawan
Tawan

Tawan มีประสบการณ์สร้างสรรค์ผลงานออนไลน์ 2 ปี เขียนด้านยานยนต์ ประกันยานยนต์ที่ Rabbit Care และ Asia Direct มีใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตและนายหน้าประกันวินาศภัย มีความเชี่ยวชาญด้านประกันรถยนต์และประกันชีวิต

close
linkedin icon
 
Published: November 2,2021
  
Last edited: November 6, 2021
ประกันน้ำท่วม

น้ำท่วมบ้าน เป็นสิ่งที่ใครหลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่จะแก้ปัญหาด้วยการย้ายบ้าน คงไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่ แบบนี้มาปกป้องบ้านที่คุณรักกันด้วยประกันดีกว่า! ว่าแต่ประกันแบบไหนที่จะสามรถเบิกเคลมได้ ถ้าบ้านถูกน้ำท่วมกันนะ? ประกันบ้านทั่วไปสามารถใช้ได้ไหม? ไปหาคำตอบกับน้องแคร์ และ Rabbit Care กันดีกว่า!

เลือกประกันบ้านแบบไหน ให้ประกันน้ำท่วมได้? 

หลายคนเมื่อซื้อประกันบ้านมักจะนึกถึงประกันอัคคีภัยเป็นส่วนมาก เพราะเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า แต่ ณ ปัจจุบัน จากสถานการณ์ที่อากาศแปรปรวนง่าย สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เรื่องของน้ำท่วมบ้านนั้นใกล้ตัวมากขึ้น ไม่ต่างจากเหตุไฟไหม้บ้านก็ว่าได้

ดังนั้นจึงไม่แปลกหากหลายคนเริ่มให้ความสนใจในประกันน้ำท่วมกันมากขึ้น 

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “น้ำท่วม” ในกรมธรรม์ประกันภัยที่หลาย ๆ บริษัทประกันฯ มักให้คำนิยามไว้ว่า น้ำไหลล้นหรือไหลออกจากทางน้ำปกติ อาจเป็นทางน้ำธรรมชาติ หรือจะเป็นทางน้ำที่สร้างขึ้น (ไม่รวมถึงรางน้ำบนหลังคา) หรือเกิดจากท่อน้ำสาธารณะแตก รวมถึงน้ำท่วมอันเกิดจากลมพายุ น้ำป่า และโคลนถล่ม ทำให้เกิดการท่วมของน้ำจากภายนอกของอาคาร

หากอธิบายให้เข้าใจแบบง่าย ๆ น้ำท่วมนั้นจะหมายถึง น้ำท่วมทั้งทางธรรมชาติจากพายุฝน หรือเป็นน้ำท่วมที่เกิดจากการปล่อยน้ำจากเขื่อน ท่อน้ำแตก ก็ได้เช่นกัน

สำหรับการเลือกประกันบ้านแบบไหนให้ครอบคลุมถึงเรื่องน้ำท่วมนั้นเลือกได้ไม่ยาก โดยทั่วไปแล้วประกันภัยบ้านที่ครอบคลุมถึงเรื่องน้ำมี 2 แบบ ได้แก่ 

  • ประกันอัคคีภัย

เป็นการทำประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งตามกฎหมายจะบังคับให้เจ้าของที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็น บ้าน คอนโด ตึกแถว ต้องทำ แต่หลัก ๆ จะเน้นไปที่ความคุ้มครองเรื่องเพลิงไหม้หรือภัยจากไฟเป็นหลัก รวมไปถึงภัยอื่น ๆ เช่น ไฟไหม้, ฟ้าผ่า, ระเบิด, ภัยจากยานพาหนะ, ภัยจากอากาศยาน และภัยเนื่องจากน้ำ แต่เป็นความคุ้มครองระยะสั้นเพียงแค่ 1 – 3 ปี 

ตัวอย่างการเคลม กรณีที่โรงงานกิ่งแก้วระเบิด ส่งผลให้บ้านเรือนรอบ ๆ รัศมีได้รับผลกระทบในเรื่องกระจกแตก แบบนี้ก็ยังเคลมประกันอัคคีภัยได้ 

แต่เงื่อนไขของ “ภัยเนื่องจากน้ำ” ที่เขียนไว้ในกรมธรรม์ มักจะครอบคลุมแค่อุบัติเหตุจากน้ำเท่านั้น เช่น น้ำรั่ว น้ำไหลล้นจากท่อน้ำ ถังน้ำ รวมถึงน้ำฝนที่ผ่านเข้าทางท่ออากาศที่ชำรุด เป็นต้น และไม่รวมถึง “ภัยน้ำท่วม” ที่เป็นภัยธรรมชาติ และท่อประปาที่แตกจากนอกอาคาร

  • ประกันภัยพิบัติ

เป็นประกันที่คุ้มครองความเสียหายหรือสูญเสียของตัวบ้านหรือทรัพย์สินที่เกิดจากเหตุธรรมชาติ ได้แก่ น้ำท่วม, แผ่นดินไหว, ลมพายุ หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติอื่น ๆ ที่ประกาศว่าเป็นสถานการณ์ภัยพิบัติรุนแรง และตามกฎหมายไม่ได้บังคับเหมือนประกันอัคคีภัย ทำให้สามารถเลือกและประเมินความเสี่ยงได้ว่าจะซื้อหรือไม่

ซึ่งประกันภัยพิบัตินั้นมีความชัดเจนครอบคลุมถึงเรื่องภัยน้ำท่วมมากกว่าประกันอัคคีภัย และครอบคลุมภัยทางธรรมชาติได้ดีกว่า เหมาะสำหรับใครที่มีที่อยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง หรือในอดีตพื้นที่นั้นเคยเกิดภัยพิบัติขึ้น การซื้อประกันภับพิบัติเสริมไว้ จึงช่วยให้คุณมั่นใจได้มากขึ้น

ตัวอย่างการเคลม หากครั้งนี้น้ำท่วมจนรอบบ้านเสียหาย กระจกแตกจากแรงดันน้ำ หากทำประกันภัยพิบัติที่คุ้มครองเรื่องน้ำท่วม แบบนี้ก็สามารถ

สรุปเบื้องต้น การเลือกซื้อประกันภัยบ้านนั้นควรเลือกความคุ้มครองหรือเงินชดเชยได้อย่างต่ำ 70% ของมูลค่าสินทรัพย์ เพื่อให้ครอบคลุมค่าเสียหายส่วนใหญ่ได้

นอกจากนี้ ผู้ซื้อประกันจะต้องจะต้องอ่านกรมธรรม์ หรือความคุ้มครองจากประกันบ้านดั่งเดิมที่ตนมีเสียก่อน ว่ามีการพูดถึงความคุ้มครองครอบคลุมเรื่องน้ำท่วมมากน้อยแค่ไหน เพราะคำนิยาม “ภัยเนื่องจากน้ำ” นั้น จะไม่เท่ากับ “ภัยน้ำท่วม” นั่นเอง

ประกันบ้าน ครอบคลุมเรื่องน้ำท่วมบ้าน

มีประกันบ้านเดิมอยู่แล้ว ทำอย่างไรให้ครอบคลุมเรื่องน้ำท่วมบ้าน

หลายคนตรวจสอบแล้ว ประกันภัยบ้านที่เคยทำไว้อาจจะไม่ครอบคลุมถึงเรื่องน้ำท่วม และนับวันบ้านของตนเริ่มกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยจากน้ำท่วม แบบนี้แก้ได้ไม่ยาก! หากประกันภัยบ้านไม่คุ้มครอง คุณอาจจะมองหา หรือเลือกซื้อประกันน้ำท่วมเสริมได้! 

ในปัจจุบันจึงมีแผนประกันภัยลักษณะนี้ให้เลือกใช้กันเยอะ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่ต้องการความคุ้มครองบางส่วน หรือมีงบประมาณจำกัด โดยประกันเสริมเหล่านี้สามารถซื้อเสริมพ่วงได้จากทั้งประกันบ้านที่มีอยู่แต่เดิม หรือจะซื้อประกันอัคคีภัยพ่วงประกันน้ำท่วมมาเติมก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และรูปแบบกรมธรรม์ของบริษัทประกันฯนั้น ๆ บางบริษัทอาจมีส่วนลดพิเศษหากซื้อพ่วงกับประกันบ้านที่มีอยู่

แต่ก่อนจะเลือกซื้อประกันเสริมนั้น คุณควรอ่านกรมธรรม์ที่สนใจก่อนว่ามีเงื่อนไขในการคุ้มครองอย่างไร และครอบคลุมสถานการณ์ใดบ้าง เนื่องจากแต่ละกรมธรรม์ก็จะมีเงื่อนไขแตกต่างกันไป เช่น บางประกันจะคุ้มครองในกรณีที่พื้นที่นั้นถูกประกาศว่าเป็นพื้นที่ภัยพิบัติเท่านั้น, บางประกันมีขอบเขตกำหนดระยะเวลาที่คุ้มครองชัดเจน เพื่อรักษาสิทธิ์ที่ตัวเองควรจะได้รับ

นอกจากเรื่องกรมธรรม์แล้ว สิ่งที่คุณควรสนใจ คือ ความคุ้มครองที่จะได้รับ เพราะบางประกันอาจคุ้มครองเฉพาะตัวอาคาร ไม่ได้ระบุถึงเฟอร์นิเจอร์ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ แต่บางแพ็คเกจประกันภัยจะครอบคลุมถึงของในบ้านด้วย เช่น เฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน, เครื่องครัว, เครื่องนุ่งห่ม และทรัพย์สินเพื่อการอยู่อาศัยอื่น ๆ  เป็นต้น แต่เมื่อความคุ้มครองมากขึ้น ก็อาจจะมีเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายมากขึ้นตามไปด้วย

หรือในกรณีที่ต้องการประกันความเสียหายกรณีน้ำท่วมหรือภัยพิบัติต่าง ๆ สำหรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง อาจเลือกวิธีการทำประกันภัยทรัพย์สินแต่แยกต่างหาก เช่น กล้อง, คอมพิวเตอร์, เครื่องเสียง หรือประกันรถยนต์ที่ครอบคลุมถึงเรื่องความเสียหายจากน้ำท่วม ก็ได้เช่นกัน

เคลมประกันบ้านน้ำท่วม ต้องทำอย่างไร

ถ้าเกิดอยากเคลมประกันขึ้นมา ต้องทำอย่างไร ?

หลังจากได้ประกันน้ำท่วมที่ตรงใจแล้ว หากเกิดเหตุการณ์จริงจะเริ่มเคลมอย่างไรดี หลัก ๆ แล้ว จะมีขั้นตอน ดังนี้

ติดต่อบริษัทประกันภัย และเตรียมเอกสารการเคลม

เพื่อแจ้งเรื่องราวเบื้องต้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เจอ และความต้องการเคลมประกันน้ำท่วม โดยทางบริษัทประกันฯจะแนะแนวทางว่าควรเตรียมเอกสารอะไรบ้างเพื่อนำมาประกอบการเคลม ปัจจุบันการยื่นเอกสารประกอบการขอสินไหมทดแทน สามารถทำได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งเอกสารส่วนใหญ่ที่ทางบริษัทประกันฯต้องการ จะมี 

  • หนังสือคำร้องขอสินไหมทดแทนที่ระบุรายละเอียดความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
  • หลักฐานอ้างอิงเหตุการณ์ความเสียหาย เช่น ภาพถ่ายระหว่างที่น้ำท่วมบ้าน, ร่องรอยความเสียหายต่าง ๆ เมื่อน้ำลดแล้ว
  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • เอกสารอื่น ๆ ที่อาจขอเรียกขอเพิ่มเติม เช่น สำเนาโฉนดที่ดิน, สำเนาเอกสารการแสดงความเป็นเจ้าของบ้าน ทั้งนี้จะขึ้นอยู่แต่ละบริษัทประกันว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง 

เก็บหลักฐานต่าง ๆ สำหรับประกอบอ้างอิงการเคลม

จะเห็นได้ว่าหลักฐาน คือเอกสารสำคัญชนิดหนึ่งที่ใช้ในการเคลมประกันน้ำท่วม ซึ่งนอกจากการถ่ายภาพระหว่างน้ำท่วม ความเสียหายต่างภายในบ้าน สามารถถ่ายเป็นคลิปวีดิโอเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือแนบไปด้วยก็ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ บางบริษัทประกันภัยอาจมีการกำหนดระยะเวลาการส่งหลักฐานและเอกสารต่าง ๆ สำหรับการเคลม โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 30 วัน หรือขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ข้อตกลงต่าง ๆ ของกรมธรรม์นั้น ๆ

ดังนั้นจึงควรเช็กให้ดีเพื่อประโยชน์สูงสุดในการเคลม และหากทำประกันภัยบ้านหรือทรัพย์สินไว้กับบริษัทประกันภัยอื่นมากกว่า 1 บริษัท จะต้องแจ้งให้บริษัทฯทราบด้วย

ใครที่กังวลกับเรื่องน้ำท่วม หรือภัยพิบัติอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาก็อุ่นใจได้ เพียงแค่คลิกมาที่ Rabbit Care โบรคเกอร์ประกันภัยที่น่าเชื่อถือ พร้อมบริการเปรียบเทียบประกันภัยต่าง ๆ ให้คุณได้เลือกสรร เพื่อความคุ้มครองและความมั่นคงให้กับชีวิต แถมยังสมัครง่าย ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล นั่งอยู่ที่บ้านก็สามารถซือประกันดี ๆ ได้แล้ว คลิกเลย!


 

บทความแคร์ไลฟ์สไตล์

Rabbit Care Blog Image 96153

แคร์ไลฟ์สไตล์

เอาใจคนชอบมอเตอร์ไซต์ เลือกสรรมอเตอร์ไซค์ที่ใช่สำหรับคุณ

การเลือกมอเตอร์ไซค์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่รักการขับขี่ เพราะนอกจากจะต้องคำนึงถึงสไตล์และดีไซน์ที่ถูกใจแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงสมรรถนะ
Thirakan T
27/08/2024