จีนฉุน! ทรัมป์ ขู่เพิ่มภาษี ทำเศรษฐกิจปั่นป่วนทั่วโลก
- ทรัมป์ประกาศ จ่อขึ้นภาษีสินค้าจีน มูลค่า 267,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปกติเก็บภาษีอยู่ที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการประกาศสงครามทางเศรษฐกิจกับจีน ทำเอาราคาทองคำผันผวนหนักทั่วโลก
- พลิกวิกฤติเป็นโอกาส รัฐบาลไทยหนุนให้ส่งออกสินค้าในกลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียม กลุ่มเคมีภัณฑ์ และกลุ่มอาหารทะเลสดแช่เย็น เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ
ยังคงเป็นดราม่าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปียันปลายปีเลยก็ว่าได้ กับเหตุการณ์ที่ทำเอานักลงทุน นักธุรกิจทั่วโลกต้องกังวลกันเป็นแถบ เพราะ สหรัฐฯ ที่นำโดย ทรัมป์ ขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีน ทำเอาพี่จีนและประเทศทั่วโลกไปไม่ถูกกันเลย
ซึ่งไม่นานมานี้เอง ทรัมป์ก็ขู่ขึ้นภาษีจีนอีกแล้วค่ะ แต่ครั้งนี้ทำเอาราคาทองคำผันผวน จนนักเก็งกำไรทองปวดหัวกันไปเลยค่ะ ว่าแต่ราคาทองที่ผันผวนจะขึ้นๆ ลงๆ เท่าไหร่บ้าง Rabbit Care จะพาไปดูเองค่ะ
ทรัมป์ ทำราคาทองปั่นป่วน นักเก็งกำไรปวดหัวกันเป็นแถบ
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศ จ่อขึ้นภาษีสินค้าจีน มูลค่า 267,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปกติเก็บภาษีอยู่ที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการประกาศสงครามทางเศรษฐกิจกับจีนเลยก็ว่าได้
แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่แค่ประเทศจีนหรอกค่ะที่ได้รับผลกระทบ เพราะตอนนี้ต่างประเทศทั่วโลกก็ได้รับผลจากคำประกาศของทรัมป์กันถ้วนหน้า แม้แต่ตลาดทองคำเองก็เช่นกัน
ในวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ตลาดทองคำบ้านเราปั่นป่วนหัวหมุนเลยค่ะ ราคาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แค่วันเดียวราคาทองขึ้นไป 3 รอบ รอบละ 50 บาท ทำเอาราคาทองคำปรับขึ้นเป็น 150 บาท นี้คือแค่วันเดียวเท่านั้น
ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละอยู่ที่ 18,950 บาท ขายออกบาทละ 19,050 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 18,616.48 ล้านบาท และขายออกบาทละ 19,550 บาท
ทีนี้เรามาดูตลาดทองต่างประเทศกันบ้าง ว่าพวกเขาได้รับผลกระทบมากน้อยอย่างไร โดยราคาทองต่างประเทศขึ้นมาระดับที่ 1,231 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์ จากที่ตอนเช้าราคาทองอยู่ที่ 1,222 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์
โดยนักเก็งกำไรทอง นักลงทุน และนักธุรกิจทั่วโลก ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวแปรสำคัญที่ทำให้ราคาผันผวนขนาดนี้เพราะ สงครามเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั่นเอง
สงครามเศรษฐกิจ ช่องทางสร้างรายได้ของประเทศไทย
ถึงสงครามเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะสงครามครั้งนี้จะช่วยเพิ่มช่องทางทำรายได้ให้กับประเทศไทย แต่จะเป็นช่องทางไหน เรามาดูกันค่ะ
ตอนนี้ทั่วโลกมีมาตรการทางการค้าของประเทศต่างๆ ทั้งมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) และมาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (SG) ซึ่งประเทศไทยของเราได้มีการศึกษามาตรการนี้ วางแผนรับมือและปรับใช้เพื่อเศรษฐกิจของประเทศ
ผลที่ได้คือมีสินค้า 3 กลุ่มด้วยกัน ทั้งกลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียม กลุ่มเคมีภัณฑ์ และกลุ่มอาหารทะเลสดแช่เย็น/เเช่เเข็ง ที่ประเทศนำเข้ารายใหญ่ได้ใช้มาตรการนี้กับประเทศผู้ส่งออก ซึ่งการมีนโยบายนี้จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสส่งออกเพิ่มขึ้น
เหตุที่ประเทศไทยของเรามีโอกาสส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากมาตรการทางการค้าที่กล่าวไปข้างต้น ประเทศไทยของเราไม่ถูกใช้มาตรการนี้ หรือได้รับการยกเว้น อีกทั้งคู่แข่งหลายประเทศโดนใช้มาตรการทางการค้านี้เข้าไป เช่น
กลุ่มอาหารทะเลสดแช่เย็น/แช่เเข็ง ทางสหรัฐฯ ประเทศที่นำเข้าสินค้าใช้มาตรการ AD กับเนื้อปลาแช่เเข็งจากเวียดนาม ในอัตรา 63.88% ของราคา CIF แต่ประเทศไทยไม่ถูกใช้มาตรการนี้
หรือสหรัฐฯ ใช้มาตรการ AD กับกุ้งแช่แข็งจากจีน อินเดีย บราซิล และเวียดนามอัตราตั้งแต่ 25.76 – 112. 81% ของราคา CIF ส่วนประเทศไทยเราเก็บแค่ 5.34% ของราคา CIF นั่นเอง
นับเป็นช่องทางทำรายได้ของประเทศไทยก็ว่าได้ ไหนจะประเทศจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ เพราะกังวลเรื่องภาษีสินค้าจีน ประเทศไทยอย่างเราก็แทนที่ แล้วยังมีมาตรการการค้าต่างประเทศที่เราได้รับการยกเว้นอีก จะเรียกว่าเป็นนาทีทองในการสร้างรายได้ก็ไม่แปลกค่ะ เพราะงั้นใช้จังหวะนี้ให้เป็นประโยชน์ เร่งทำกำไรกันค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : เดลินิวส์ และ ประชาชาติธุรกิจ
ที่มา
ทีมกองบรรณาธิการ กลุ่มนักเขียนผู้มีประสบการณ์ด้านรถยนต์ การเงิน และประกันภัย ของ แรบบิท แคร์ ที่เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 10 ปี