การเช็คประวัติการเคลมประกัน : สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

Natthamon
ผู้เขียน: Natthamon Published: May 30, 2025
Natthamon
Natthamon
ทำงานเกี่ยวข้องกับวงการประกันรถยนต์และยานยนต์มาตั้งแต่ปี 2019 ในหลากหลายตำแหน่งทั้ง SEO Specialist, Senior Executive, SEO / Web Analytics และ SEO Content Writer ในบริษัทประกันรถยนต์่และรถมือสองชั้นนำ นอกจากนั้น ยังเคยอยู่ในแวดวงสื่อมวลชนนานถึง 3 ปีในตำแหน่งนักข่าวไอทีนิตยสารชื่อดังแวดวง E-Commerce ด้านการศึกษาจบระดับชั้นปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนเรศวร และปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การเช็คประวัติการเคลมประกัน

การตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นรถยนต์มือสอง หรือแม้แต่การพิจารณาต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประจำปี ถือเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรอบคอบและข้อมูลที่ครบถ้วน หนึ่งในข้อมูลเชิงลึกที่ผู้ใช้รถจำนวนไม่น้อยอาจละเลย แต่กลับมีผลกระทบอย่างสูงต่อการตัดสินใจ คุณภาพของรถ และค่าใช้จ่ายในระยะยาว นั่นคือ “การเช็คประวัติการเคลมประกัน” การเข้าถึงและทำความเข้าใจข้อมูลส่วนนี้ จะช่วยให้เราสามารถประเมินสภาพที่แท้จริงของยานพาหนะ ความเสี่ยงที่อาจแฝงเร้น รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อเบี้ยประกันในอนาคตได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น การเช็คประวัติการเคลมประกันจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นขั้นตอนจำเป็นสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ทุกคน

ทำไมการเช็คประวัติการเคลมรถจึงสำคัญ?

การเช็คประวัติการเคลมรถไม่ได้เป็นเพียงขั้นตอนเสริม แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในหลายสถานการณ์ ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่กำลังมองหารถมือสอง ผู้ที่ต้องการขายรถของตนเอง หรือแม้แต่เจ้าของรถที่กำลังจะต่อประกันภัย การมีข้อมูลประวัติการเคลมอยู่ในมือ จะมอบข้อได้เปรียบและความมั่นใจ ดังนี้

สำหรับผู้ที่กำลังจะซื้อรถมือสอง

  • ประเมินสภาพรถที่แท้จริงอย่างลึกซึ้ง : ประวัติการเคลมจะเปรียบเสมือนไดอารี่ของรถยนต์ ที่บันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น อุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้น ความเสียหายที่ได้รับ และการซ่อมแซมที่ตามมา ข้อมูลนี้ช่วยให้ท่านหลีกเลี่ยงการซื้อรถที่อาจมีปัญหาใหญ่ซ่อนอยู่ เช่น รถที่เคยประสบอุบัติเหตุรุนแรงจนกระทบโครงสร้างหลัก หรือรถที่เคยผ่านการจมน้ำ ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่และค่าบำรุงรักษาที่บานปลายในอนาคต
  • เครื่องมือในการตัดสินใจและต่อรองราคาอย่างมีเหตุผล : ในการเช็คประวัติการเคลมประกัน หากผลการตรวจสอบพบว่ารถคันดังกล่าวมีประวัติการเคลมหลายครั้ง หรือเคยมีการเคลมความเสียหายหนัก ท่านสามารถนำข้อมูลนี้มาใช้เป็นเหตุผลในการต่อรองราคากับผู้ขายให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง หรือในกรณีที่ความเสียหายนั้นรุนแรงเกินกว่าจะยอมรับได้ ท่านก็สามารถตัดสินใจปฏิเสธการซื้อได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุน
  • วางแผนการบำรุงรักษาล่วงหน้า : การเช็คประวัติการเคลมรถจะทำให้ทราบว่า ชิ้นส่วนใดของรถเคยผ่านการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่มาแล้ว ช่วยให้ท่านสามารถวางแผนการดูแลและบำรุงรักษาชิ้นส่วนเหล่านั้นเป็นพิเศษ เพื่อยืดอายุการใช้งานและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ

สำหรับผู้ที่ต้องการขายรถมือสอง

  • สร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับผู้ซื้อ : การเปิดเผยประวัติการเคลม (หากมี) อย่างตรงไปตรงมาและครบถ้วน แสดงถึงความจริงใจของผู้ขาย ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่สนใจซื้อ และอาจทำให้กระบวนการขายรถเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น แม้รถจะมีประวัติการเคลม แต่หากเป็นการซ่อมที่ได้มาตรฐานและมีการชี้แจงที่ชัดเจน ก็ย่อมดีกว่าการพยายามปกปิดข้อมูล
  • กำหนดราคาขายได้อย่างเหมาะสมและยุติธรรม : การเช็คประวัติการเคลมรถของตนเองอย่างละเอียด ช่วยให้ผู้ขายสามารถตั้งราคาขายได้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของรถ ไม่ตั้งราคาสูงหรือต่ำจนเกินไป

สำหรับเจ้าของรถเมื่อต้องการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย

  • เข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อเบี้ยประกันภัยในปีถัดไป : ประวัติการเคลมที่ดี เช่น ไม่เคยเคลมเลย หรือมีการเคลมเพียงเล็กน้อยและไม่ใช่ฝ่ายผิด เป็นต้น มักจะส่งผลให้ท่านได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุ (No Claim Bonus – NCB) ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ในทางตรงกันข้าม หากในการเช็คประวัติการเคลมรถมีการเคลมบ่อยครั้ง หรือมีการเคลมที่มูลค่าความเสียหายสูง อาจทำให้เบี้ยประกันภัยสูงขึ้น หรือในบางกรณี บริษัทประกันภัยอาจพิจารณาเพิ่มเงื่อนไขพิเศษ หรือแม้กระทั่งปฏิเสธการต่ออายุกรมธรรม์
  • ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่บริษัทประกันภัยมี : ในบางครั้ง อาจเกิดการบันทึกข้อมูลการเคลมที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้อง การเช็คประวัติการเคลมประกันของตนเองจะช่วยให้ท่านมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่บริษัทประกันภัยใช้ในการพิจารณานั้นถูกต้อง

การตระหนักถึงความสำคัญในแง่มุมต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้เราไม่มองข้ามขั้นตอนการเช็คประวัติการเคลมประกันก่อนที่จะทำการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์คันสำคัญ

เช็คประวัติการเคลมรถยังไง ให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและครบถ้วน?

การเช็คประวัติการเคลมประกัน

หนึ่งในคำถามที่ถูกถามเข้ามาบ่อยครั้งคือ ขั้นตอนการเช็คประวัติการเคลมรถให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้และครอบคลุมที่สุด ซึ่งวิธีการเช็คประวัติการเคลมรถนั้นจะมีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานะของผู้ตรวจสอบว่า เป็นเจ้าของรถเอง หรือเป็นผู้สนใจซื้อ และวัตถุประสงค์ในการเช็คประวัติการเคลมรถ โดยช่องทางหลักๆ ที่สามารถดำเนินการได้ จะเป็นการติดต่อบริษัทประกันภัยโดยตรงสำหรับในกรณีรถของตนเอง หรือได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถปัจจุบัน ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังนี้

  • กรณีเป็นรถยนต์ของตนเอง : นี่คือวิธีการเช็คประวัติการเคลมรถที่ตรงไปตรงมาและได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด ท่านสามารถติดต่อศูนย์บริการลูกค้า (Call Center) หรือสาขาของบริษัทประกันภัยที่ท่านทำประกันไว้โดยตรง เพียงแจ้งข้อมูลส่วนตัวที่จำเป็น เช่น ชื่อ-นามสกุลผู้เอาประกัน เลขทะเบียนรถ หรือเลขที่กรมธรรม์ เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันภัยจะสามารถให้ข้อมูลเช็คประวัติการเคลมรถที่ผ่านมาของรถท่านได้ ซึ่งอาจรวมถึงรายละเอียดสำคัญ เช่น วันที่เกิดเหตุ ลักษณะของความเสียหาย ชิ้นส่วนที่ซ่อมแซม และจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จ่ายไป
  • กรณีต้องการตรวจสอบประวัติรถยนต์ของผู้อื่น : โดยหลักการแล้ว บริษัทประกันภัยจะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าแก่บุคคลที่สาม เนื่องจากอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) อย่างไรก็ตาม หากท่านกำลังพิจารณาซื้อรถมือสอง ท่านสามารถร้องขอให้ผู้ขายปัจจุบันซึ่งเป็นเจ้าของรถตามกฎหมาย เป็นผู้ดำเนินการติดต่อบริษัทประกันภัยของตนเพื่อเช็คประวัติการเคลมรถ แล้วนำเอกสารดังกล่าวมาแสดงให้ท่านตรวจสอบ นี่เป็นวิธีที่โปร่งใสและแสดงถึงความจริงใจของผู้ขายได้เป็นอย่างดี
  • กรณีตรวจสอบจากเอกสารใบเคลม หรือใบเสร็จการซ่อมบำรุง : หากท่านกำลังพิจารณาซื้อขายรถมือสอง การขอดูเอกสารใบเคลมที่ผ่านมาหากรถคันดังกล่าวเคยมีการแจ้งเคลม หรือใบเสร็จค่าซ่อมจากอู่ซ่อมรถหรือศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ท่านเห็นภาพรวมของการดูแลรักษารถคันนั้นๆ รวมถึงลักษณะความเสียหายที่เคยเกิดขึ้นและการซ่อมแซม

ข้อมูลและเอกสารที่ควรเตรียมก่อนเริ่มกระบวนการ เช็คประวัติการเคลมประกัน

เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบประวัติการเคลมเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น ท่านควรเตรียมข้อมูลและเอกสารเบื้องต้นที่จำเป็น ดังต่อไปนี้:

  • หมายเลขทะเบียนรถยนต์: เป็นข้อมูลพื้นฐานที่สุดที่ต้องใช้ในการอ้างอิงรถยนต์คันที่ต้องการตรวจสอบ
  • เลขที่กรมธรรม์ประกันภัย (ถ้ามี): หากท่านเป็นเจ้าของรถและต้องการตรวจสอบประวัติกับบริษัทประกันภัยเดิมที่เคยทำไว้ เลขที่กรมธรรม์จะช่วยให้การค้นหาข้อมูลเป็นไปได้ง่ายขึ้น
  • ชื่อ-นามสกุลของผู้เอาประกันภัย: เพื่อยืนยันตัวตนและความเป็นเจ้าของกรมธรรม์ หรือเพื่อการอ้างอิงที่ถูกต้อง
  • เลขตัวถังรถยนต์ (VIN – Vehicle Identification Number): มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อต้องการข้อมูลเชิงลึกที่เชื่อมโยงกับตัวรถโดยตรง

วิธีเช็คประวัติรถมือสอง : การตรวจสอบเชิงลึกก่อนตัดสินใจซื้อ

เช็คประวัติรถมือสอง

การซื้อรถมือสองนั้นมีความเสี่ยงที่สูงกว่าการซื้อรถใหม่ป้ายแดงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ การเช็คดูประวัติรถมือสองอย่างละเอียดรอบคอบจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เพื่อป้องกันการซื้อรถยนต์ที่มีปัญหาซ่อนเร้น หรือ “ย้อมแมวขาย” นอกเหนือจากการเช็คประวัติการเคลมประกันตามที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ยังมีวิธีการและเทคนิคอื่นๆ ที่ควรนำมาใช้ประกอบกันเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบรณ์ที่สุด:

1. เริ่มต้นด้วยการสอบถามประวัติจากผู้ขายโดยตรง

ควรเปิดการสนทนากับผู้ขายเกี่ยวกับประวัติการใช้งานรถยนต์คันดังกล่าว สอบถามถึงลักษณะการขับขี่ การดูแลรักษาตามระยะ และที่สำคัญคือประวัติการเกิดอุบัติเหตุหรือการแจ้งเคลมประกัน สังเกตท่าทีของผู้ขาย ความเต็มใจในการให้ข้อมูล และความน่าเชื่อถือของคำตอบ

นอกจากนั้น ยังควรขอให้ผู้ขายแสดงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตัวรถ เช่น สมุดคู่มือการใช้รถ (Owner’s Manual) ประวัติการนำรถเข้าตรวจเช็คสภาพและซ่อมบำรุงที่ศูนย์บริการ (Service Booklet/Records) ใบเสร็จค่าซ่อมแซมต่างๆ หรือเอกสารการเคลมประกันต่างๆ อีกด้วย

2. ตรวจสอบสภาพภายนอกและภายในตัวรถอย่างละเอียดถี่ถ้วน

  • สีตัวถังรถ: สังเกตความสม่ำเสมอของสีรถโดยรอบ มองหาร่องรอยการทำสีใหม่ที่อาจไม่กลมกลืนกับสีเดิม ละอองสีที่อาจกระเด็นไปติดอยู่ตามขอบยาง ชิ้นส่วนพลาสติก หรือส่วนอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่ารถเคยผ่านการซ่อมแซมตัวถังมาแล้ว
  • รอยต่อและแนวตะเข็บตัวถัง: ตรวจสอบช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนตัวถังต่างๆ เช่น ประตู ฝากระโปรงหน้า-หลัง และกันชน ควรมีความสม่ำเสมอและได้แนว หากช่องว่างไม่เท่ากัน หรือแนวตะเข็บผิดปกติ อาจหมายถึงรถเคยถูกชนและมีการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วน
  • ใต้ท้องรถและภายในห้องเครื่อง: ก้มลงมองใต้ท้องรถเพื่อหาร่องรอยการชน คราบสนิมที่ผิดปกติ หรือร่องรอยการซ่อมแซมที่ไม่ได้มาตรฐาน เปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อตรวจสอบสภาพห้องเครื่อง สังเกตคราบน้ำมันรั่วซึม หรือร่องรอยความเสียหายที่อาจหลงเหลืออยู่
  • ภายในห้องโดยสาร: ตรวจสอบสภาพเบาะนั่ง คอนโซลหน้า-หลัง แผงประตู พรมปูพื้น และเพดานรถ สังเกตความสะอาด ร่องรอยการฉีกขาด หรือคราบสกปรกที่ผิดปกติ ลองดมกลิ่นภายในรถ หากมีกลิ่นอับชื้นรุนแรง อาจเป็นสัญญาณว่ารถเคยผ่านการจมน้ำ

3. ตรวจสอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (เล่มทะเบียนรถ)

ดูรายละเอียดจำนวนเจ้าของรถที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงเลขทะเบียน (หากมี) หรือการแจ้งดัดแปลงสภาพรถ หากรถมีการเปลี่ยนเจ้าของบ่อยครั้งในระยะเวลาสั้นๆ อาจเป็นสัญญาณที่ต้องตั้งข้อสังเกตเป็นพิเศษ พร้อมทั้งตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลในเล่มทะเบียนรถ เช่น เลขตัวถัง (VIN) และเลขเครื่องยนต์ ตรงกับตัวรถจริงทุกประการ

4. การทดลองขับ (Test Drive) คือสิ่งจำเป็น

ทำการทดลองขับรถในสภาพถนนที่หลากหลาย ทั้งทางตรง ทางโค้ง และทางขรุขระ สังเกตการตอบสนองของเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ (ทั้งเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา) ระบบเบรก ช่วงล่าง และพวงมาลัย ฟังเสียงผิดปกติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขับขี่ นอกจากนั้น อย่าลืมทดลองเปิดใช้งานระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทั้งหมดภายในรถ เช่น ระบบปรับอากาศ เครื่องเสียง ไฟหน้า ไฟเลี้ยว ที่ปัดน้ำฝน กระจกไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างยังทำงานได้ปกติ

5. นำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญ หรือศูนย์บริการที่ไว้ใจได้

นี่เป็นขั้นตอนที่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง และถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน เพราะช่างผู้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจะสามารถตรวจสอบสภาพรถได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ทั้งโครงสร้างตัวถัง เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ระบบช่วงล่าง และระบบไฟฟ้า รวมถึงอาจตรวจพบร่องรอยการซ่อมแซมหรือปัญหาที่คนทั่วไปอาจมองข้ามไปได้ นอกจากนั้น ศูนย์บริการบางแห่งอาจมีบริการเช็คดูประวัติรถจากฐานข้อมูลของตนเองได้ด้วย หากรถคันดังกล่าวเคยเข้ารับบริการที่นั่น

6. ใช้บริการตรวจสอบสภาพรถมือสองจากบริษัทที่มีชื่อเสียง

ในปัจจุบัน มีบริษัทที่ให้บริการตรวจสอบสภาพรถมือสองโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ พร้อมทั้งออกใบรับรองหรือรายงานผลการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อได้อีกระดับหนึ่ง และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่มีน้ำหนัก

การใช้วิธีการตรวจสอบเหล่านี้ควบคู่กันไป จะช่วยให้ท่านได้รับภาพรวมของรถมือสองคันที่สนใจได้อย่างชัดเจนและครอบคลุมที่สุด และช่วยให้การเช็คประวัติการเคลมรถของท่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสในการได้รถที่ดี มีคุณภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

เปรียบเทียบช่องทางการเช็คประวัติการเคลมรถยนต์

ช่องทางการตรวจสอบข้อมูลที่อาจได้รับความน่าเชื่อถือความยากง่ายในการเข้าถึง ค่าใช้จ่ายหมายเหตุสำคัญ
1. ติดต่อบริษัทประกันภัยโดยตรงประวัติการเคลมโดยละเอียด (วันที่, ลักษณะ, ค่าซ่อม) เฉพาะรถที่ทำประกันกับบริษัทนั้นสูงมากง่ายสำหรับเจ้าของรถ / ยากสำหรับบุคคลที่สามไม่มีต้องเป็นเจ้าของรถปัจจุบัน หรือได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของรถโดยตรง
2. สอบถามจากผู้ขาย (กรณีกำลังจะซื้อรถมือสอง)เอกสารการเคลม (ถ้ามี), ใบเสร็จค่าซ่อม (หากผู้ขายยินดีให้ข้อมูลและมีเอกสารเก็บไว้)ปานกลาง-ต่ำ (ขึ้นกับผู้ขาย)ง่ายไม่มีความน่าเชื่อถือขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์และความโปร่งใสของผู้ขายเป็นหลัก
3. นำรถเข้าศูนย์บริการ/อู่ที่ไว้ใจได้สภาพรถยนต์ปัจจุบัน, ร่องรอยการซ่อมแซม, ประวัติการซ่อม (หากรถเคยเข้ารับบริการที่นั่น)สูง (สำหรับสภาพปัจจุบัน)ปานกลาง (ต้องนัดหมายและมีค่าใช้จ่าย)มีค่าบริการในการตรวจสอบเป็นการตรวจสอบสภาพทางกายภาพของรถ ไม่ใช่ประวัติการเคลมจากระบบประกันโดยตรง

ข้อมูลสำคัญอะไรบ้างที่จะได้รับจากการ เช็คประวัติการเคลมประกัน?

เมื่อท่านดำเนินการเช็คประวัติการเคลมประกันอย่างถูกต้องตามช่องทาง ข้อมูลที่ท่านควรจะได้รับ ซึ่งความละเอียดอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแหล่งข้อมูลและนโยบายของแต่ละบริษัท แต่โดยทั่วไปจะประกอบด้วยประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

  • วันที่เกิดเหตุการณ์ / วันที่แจ้งเคลม : ช่วยให้ท่านทราบลำดับเวลาว่าอุบัติเหตุหรือความเสียหายนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด และมีการแจ้งเคลมหลังจากเกิดเหตุนานเท่าใด
  • ลักษณะของการแจ้งเคลม :
    • การเคลมสด (Fresh Claim): หมายถึงการแจ้งเคลม ณ สถานที่เกิดเหตุทันที โดยมีเจ้าหน้าที่สำรวจภัย (Surveyor) ของบริษัทประกันภัยเดินทางไปตรวจสอบสภาพความเสียหายจริง ณ จุดเกิดเหตุ
    • การเคลมแห้ง (Dry Claim): หมายถึงการแจ้งเคลมความเสียหายภายหลังจากที่เหตุการณ์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ได้มีการแจ้ง ณ ที่เกิดเหตุโดยตรง มักใช้กับกรณีความเสียหายเล็กน้อยที่ไม่มีคู่กรณี หรือคู่กรณีตกลงกันได้ และนำรถเข้าซ่อมในภายหลัง
  • ประเภทของความเสียหายที่เกิดขึ้น :
    • ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันภัย: เช่น กรณีขับรถชนเสาไฟฟ้า ชนกำแพง ชนรถยนต์คันอื่น (และเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณี) หรือถูกรถคันอื่นเฉี่ยวชนแล้วหลบหนี
    • กรณีรถยนต์สูญหายหรือถูกโจรกรรม: การเคลมกรณีรถยนต์หายทั้งคัน
    • ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ: เช่น กรณีรถยนต์ถูกน้ำท่วม ลูกเห็บตกใส่ หรือต้นไม้ล้มทับ
  • รายละเอียดของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถ : ระบุว่าส่วนใดของรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย (เช่น กันชนหน้าแตก ประตูหน้าซ้ายบุบ ไฟท้ายขวาแตก) และอาจมีข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะหรือระดับความรุนแรงของความเสียหายนั้นๆ
  • การประเมินมูลค่าความเสียหายและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม : จำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทประกันภัยอนุมัติให้สำหรับการซ่อมแซม หรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมที่เกิดขึ้นจริง (หากมีการบันทึกไว้)
  • สถานะการเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด (ในกรณีอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี) : ข้อมูลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อเบี้ยประกันภัยในปีถอดไป และสิทธิ์ในการได้รับส่วนลดประวัติดี (NCB)
  • อู่ซ่อมรถยนต์หรือศูนย์บริการที่ดำเนินการซ่อมแซม : ทำให้ท่านพอจะทราบได้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้รับการซ่อมแซมจากอู่ในเครือของบริษัทประกัน อู่นอกเครือ หรือศูนย์บริการมาตรฐานของผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพงานซ่อม

ข้อควรระวังและข้อจำกัดบางประการในการ เช็คประวัติการเคลม

แม้ว่าการเช็คประวัติการเคลมประกันจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ก็มีข้อควรระวังและข้อจำกัดบางประการที่ผู้ตรวจสอบควรทำความเข้าใจ เพื่อให้การประเมินข้อมูลเป็นไปอย่างรอบด้าน

ไม่ใช่ทุกความเสียหายจะถูกนำมาแจ้งเคลมเสมอไป

เจ้าของรถบางรายอาจเลือกที่จะรับผิดชอบค่าซ่อมแซมเองสำหรับความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ หรืออุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียประวัติการเคลม ซึ่งอาจส่งผลให้เบี้ยประกันภัยสูงขึ้นในปีถัดไป หรือเพื่อความรวดเร็วในการซ่อม ดังนั้น รถยนต์ที่ไม่มีประวัติการเคลมในระบบ ก็ไม่ได้หมายความว่ารถคันนั้นไม่เคยประสบอุบัติเหตุหรือมีความเสียหายใดๆ เลย

ข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ข้อมูลการเคลมประกันถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย (PDPA) การที่บุคคลที่สามจะเข้าถึงข้อมูลการเคลมของรถยนต์ที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของโดยตรงนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก

ความถูกต้องและความครบถ้วนของข้อมูล

ข้อมูลที่ได้รับจากบางแหล่งอาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% หรือในบางกรณีอาจมีการบันทึกข้อมูลที่คลาดเคลื่อนได้ ดังนั้น หากเป็นไปได้ ควรพยายามตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่งประกอบกันเพื่อความแม่นยำ

การตีความข้อมูลที่ได้รับอย่างระมัดระวัง

การที่รถยนต์มีประวัติการเคลม ไม่ได้หมายความว่ารถคันนั้นเป็นรถที่ไม่ดีเสมอไป สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณารายละเอียดของการเคลมแต่ละครั้งว่าเป็นการเคลมเรื่องอะไร ความเสียหายรุนแรงเพียงใด และการซ่อมแซมที่ผ่านมานั้นได้มาตรฐานและแก้ไขปัญหาได้เรียบร้อยดีหรือไม่ รถที่เคยเคลมแต่ซ่อมมาอย่างดีจากศูนย์บริการที่ได้มาตรฐาน อาจมีสภาพดีกว่ารถที่ไม่เคยเคลมแต่ขาดการดูแลรักษาก็เป็นได้

การเช็คประวัติการเคลมประกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็นกระบวนการที่จำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในฐานะผู้ซื้อรถยนต์ ผู้ขายรถยนต์ หรือเจ้าของรถยนต์ที่ต้องการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย การมีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน จะช่วยให้ท่านสามารถตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ได้อย่างรอบคอบ คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป และลดความเสี่ยงจากปัญหาที่อาจตามมาในอนาคตได้ การสละเวลาและความใส่ใจเพียงเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ อาจช่วยให้ท่านประหยัดทั้งเงินและเวลา รวมถึงป้องกันความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

การเลือกพันธมิตรด้านประกันภัยรถยนต์ที่น่าเชื่อถือและมีบริการที่ตอบโจทย์ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ที่ แรบบิท แคร์ เราภาคภูมิใจในความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประกันรถยนต์อย่างแท้จริง เราเข้าใจถึงความต้องการที่หลากหลายและเฉพาะบุคคลของลูกค้าทุกท่าน เรามีแผนประกันรถยนต์ให้เลือกสรรมากมาย ท่านสามารถเปรียบเทียบและเลือกแผนที่ตรงใจ คุ้มค่า และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์การขับขี่ของท่านได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายจากอุบัติเหตุ กรณีรถยนต์สูญหายหรือถูกโจรกรรม ความเสียหายจากอัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติ นอกจากนี้ เรายังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง จากทีมงานมืออาชีพที่พร้อมให้ความช่วยเหลือท่านในทุกสถานการณ์ พร้อมด้วยโปรโมชั่นพิเศษและสิทธิประโยชน์มากมาย ให้คุณอุ่นใจในทุกเส้นทางการขับขี่ เลือก แรบบิท แคร์ ดูแลรถ ดูแลคุณ

สรุป

การเช็คประวัติการเคลมประกันรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้เกี่ยวข้องทุกคน โดยช่วยให้ผู้ซื้อรถมือสองสามารถประเมินสภาพรถที่แท้จริง ต่อรองราคา และวางแผนการบำรุงรักษาได้อย่างแม่นยำ ขณะที่ผู้ขายสามารถสร้างความโปร่งใสและกำหนดราคาได้อย่างเหมาะสม ส่วนเจ้าของรถก็สามารถทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อเบี้ยประกันและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ การตรวจสอบทำได้โดยเจ้าของรถติดต่อบริษัทประกันโดยตรง หรือผู้สนใจซื้อร้องขอให้ผู้ขายดำเนินการ หรือตรวจสอบจากเอกสารการเคลมและใบเสร็จการซ่อม ข้อมูลที่ได้รับจะรวมถึงวันที่เกิดเหตุ ลักษณะความเสียหาย ค่าซ่อม และสถานะการเป็นฝ่ายถูก/ผิด อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าไม่ใช่ทุกความเสียหายจะถูกแจ้งเคลม และการเข้าถึงข้อมูลอาจมีข้อจำกัด จึงควรพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบร่วมกับการตรวจสอบสภาพรถจริงเพื่อการตัดสินใจที่คุ้มค่าและลดความเสี่ยงในระยะยาว

ที่มา

บทความแคร์เรื่องประกันยานยนต์

Rabbit Care Blog Image 99552

แคร์เรื่องประกันยานยนต์

ซื้อ พรบ 7-11 หรือ ซื้อประกันรถยนต์ 7–11 ดียังไง มีอะไรบ้างที่ควรรู้ก่อนใช้บริการ

สำหรับคนที่อยากซื้อ พรบ 7-11 หรือซื้อประกันรถยนต์ 7-11 เพื่อดูแลเรื่องความคุ้มครองให้อุ่นใจในทุกการเดินทางอย่างครบถ้วน มีเรื่องอะไรบ้างที่ควรรู้ก่อน?
Natthamon
27/02/2025
Rabbit Care Blog Image 99588

แคร์เรื่องประกันยานยนต์

ใบเสนอราคาประกันรถยนต์และกฎหมายประกันภัยรถยนต์ที่ควรรู้เพื่อเลือกประกันที่ใช่

การมีรถยนต์สักคันเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่การดูแลรักษารถยนต์ให้ดีก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
Natthamon
26/02/2025
Rabbit Care Blog Image 99369

แคร์เรื่องประกันยานยนต์

ต้องมีงบเยอะไหม ? ต่อพรบ+ภาษี รถเก๋ง ราคาเท่าไหร่ ?

คำถามยอดฮิตของเจ้าของรถยนต์คนใหม่ต่อพรบ+ภาษี รถเก๋ง ราคาเท่าไหร่ ราคาแพงหรือไม่ จำเป็นต้องต่ออย่างสม่ำเสมอไหม วันนี้ แรบบิท แคร์
Natthamon
13/02/2025