แคร์ไลฟ์สไตล์

ผ่าคลอด มีข้อดีอย่างไร ? ปลอดภัยกว่าคลอดธรรมชาติหรือไม่ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ?

ผู้เขียน : Nok Srihong
Nok Srihong

มีประสบการณ์มากกว่า 3 ปี เป็นนักเขียนด้านประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อสุขภาพที่ Rabbit Care และ Asia Direct และ 12 ปี ในอุตสาหกรรม OTA อย่าง Laterooms.com , Expedia.com จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาการจัดการการเงิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น

close
linkedin icon
แก้ไขโดย : คะน้าใบเขียว
คะน้าใบเขียว

นักเขียนรุ่นไฮบริด เขียนบทความด้านการบริหารเงินส่วนบุคคลและการลงทุนต่าง ๆ กว่า 7 ปี เริ่มต้นที่งานเขียนที่ Rabbit Finance จนย้ายมาที่ Rabbit Care และ Asia Direct

close
linkedin icon
 
Published: March 12,2024
  
Last edited: March 13, 2024
ผ่าคลอด

สำหรับว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ จะผ่าคลอดหรือคลอดธรรมชาติคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะต้องตัดสินใจ ว่าจะผ่าคลอดดีหรือไม่ การผ่าคลอดปลอดภัยกว่าคลอดธรรมชาติไหม มีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร ? ค่าใช้จ่ายในการผ่าคลอดแพงหรือไม่ รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการผ่าคลอด จาก แรบบิท แคร์

ประกันสุขภาพที่คุณเลือกเองได้ พร้อมชำระได้หลากหลายช่องทาง
icon angle up or down

เลือกแผนประกันสุขภาพที่คุณสนใจ

    ชื่อนามสกุล

    หมายเลขโทรศัพท์

    ผ่าคลอด คืออะไร ?

    ผ่าคลอด หรือ Cesarean Section (C-Section) คือ การคลอดด้วยการผ่าตัดแทนการคลอดแบบธรรมชาติทางช่องคลอดของคุณแม่ โดยแพทย์จะใช้วิธีเปิดปากแผลบริเวณหน้าท้องและมดลูก ซึ่งเดิมทีจะใช้วิธีการผ่าตัดคลอดบุตรในกรณีที่คลอดธรรมชาติไม่ได้ หรือการคลอดธรรมชาติอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อแม่และเด็กในครรภ์ หรือมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ทำให้แพทย์แนะนำให้คุณแม่คลอดด้วยวิธีการผ่าคลอด 

    แต่ในปัจจุบันนั้นการผ่าตัดคลอดบุตรถือเป็นการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และจากเดิมที่ทำการผ่าคลอดเพราะเหตุผลทางการแพทย์ก็ได้มีการเปลี่ยนไปเป็นเหตุผลอื่น ๆ มากขึ้น เช่น คุณแม่ไม่อยากเจ็บปวดในการเบ่งคลอดมาก สามารถกำหนดวันที่คลอดได้ คุณแม่บางรายกลัวช่องคลอดฉีกขาด กลัวช่องคลอดหลวมหลังคลอด เป็นต้น ดังนั้นในปัจจุบันการผ่าตัดคลอดบุตรจึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

    ผ่าคลอดต่างกับคลอดธรรมชาติอย่างไร ?

    แน่นอนว่าการผ่าคลอดและการคลอดธรรมชาติมีความแตกต่างกันอย่างมาก เพราะการผ่าตัดคลอดบุตรนั้นคุณแม่จะไม่ต้องใช้พลังใจในการผ่าคลอดเท่ากับการคลอดธรรมชาติ เพราะการคลอดธรรมชาติคุณแม่จะต้องการเบ่งคลอดลูกออกมาทางช่องคลอดหลังจากที่ปากมดลูกเปิดออกจนได้ระดับตามที่กำหนดคุณแม่ก็จะต้องทำการเบ่งคลอดซึ่งต้องใช้ทั้งพลังกายและพลังใจเป็นอย่างมาก

    ทั้งนี้การคลอดธรรมชาตินั้นถือว่าเป็นวิธีการคลอดที่มีความปลอดภัยต่อคุณแม่และเด็กในครรภ์เป็นอย่างมาก ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ หลังคลอดได้น้อยกว่าการผ่าตัดคลอดบุตรและคุณแม่สามารถฟื้นตัวหลังคลอดได้เร็ว เสียเลือดน้อย เจ็บแผลน้อยกว่าการผ่าตัดคลอดบุตรนั่นเอง

    ผ่าคลอดปลอดภัยกว่าคลอดธรรมชาติหรือไม่ ?

    โรงพยาบาลนครธนให้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับความอันตรายของการผ่าคลอดว่าถึงแม้ในปัจจุบันนั้นการผ่าคลอดจะมีความปลอดภัยที่สูงมาก แต่เมื่อเทียบกับการคลอดตามธรรมชาติแล้ว การผ่าตัดคลอดบุตรยังมีความเสี่ยงที่มากกว่าการคลอดธรรมชาติ ดังนั้นก่อนตัดสินใจว่าจะผ่าคลอดถือไม่นั้นจะต้องพิจารณาถึงความต้องการและปัจจัยใจแวดล้อมต่าง ๆ ก่อนนั่นเอง

    ผ่าคลอด

    ข้อดีของการผ่าคลอด

    สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่กำลังลังเลไม่กล้าตัดสินใจ ว่าจะทำการผ่าตัดคลอดบุตรดีหรือไม่ ลองมาดูข้อดีประกอบการตัดสินใจได้เลย

    • การผ่าตัดคลอดบุตรนั้นสามารถกำหนดเวลาที่ต้องการคลอดบุตรได้ คุณแม่และครอบครัวจึงสามารถเลือกวันและเวลาในการคลอดบุตรได้ แต่ทั้งนี้ก็จำเป็นที่จะต้องดูความพร้อมและความแข็งแรงของทารกในครรภ์ประกอบด้วย
    • การผ่าตัดคลอดบุตรทำให้ไม่ต้องรอคลอดนาน เพราะการผ่าตัดคลอดบุตรไม่จำเป็นต้องรอให้ปากมดลูกเปิดเหมือนการคลอดธรรมชาตินั่นเอง (ปกติการผ่าตัดคลอดบุตรใช้เวลาเพียง 45 นาที – 1 ชั่วโมงเท่านั้น)
    • การผ่าตัดคลอดบุตรช่วยลดการยืดหย่อนของเชิงกรานได้เป็นอย่างดีในขณะที่การคลอดธรรมชาตินั้นจะส่งผลต่อการยืดของกะบังลมเชิงกรานเป็นอย่างมาก
    • การผ่าตัดคลอดบุตรช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างคลอดเนื่องจากในระหว่างทำการผ่าคลอดนั้นแพทย์จะมีการโปะยาสลบหรือทำการบล็อกหลังทำให้ระหว่างทำการผ่าตัดคุณแม่จะไม่รู้สึกเจ็บและไม่ต้องออกแรงเบ่งใด ๆ 
    • ในการผ่าตัดคลอดบุตรนั้นหากมีการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเกิดปัญหาในการผ่าคลอดคุณแม่และทารกในครรภ์แม่จะได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างรวดเร็ว

    ข้อเสียของการผ่าคลอด

    แน่นอนว่าเมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย แม้ว่าการผ่าตัดเพื่อคลอดบุตรจะมีข้อดีอยู่มากมาย ก็ต้องมีข้อเสียแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน คือ

    • เมื่อทำการผ่าตัดคลอดบุตรร่างกายของคุณแม่จะสามารถฟื้นตัวได้ช้ากว่าการคลอดธรรมชาติเนื่องจากเสียเลือดมากและมีการเจ็บแผลนาน
    • หลังจากทำการผ่าตัดคลอดบุตรแล้วคุณแม่จะไม่สามารถให้นมบุตรได้ทันที
    • มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
    • มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการวางยาสลบหรือการบล็อกหลัง
    • อาจส่งผลให้บุตรมีภูมิต้านทานไม่ดี มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน และโรคอ้วน

    จำเป็นต้องผ่าคลอดในกรณีไหน ? 

    สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าหากไม่ใช่เพราะความต้องการของคุณแม่และครอบครัวแล้ว จะมีกรณีใดบ้างที่ทำให้จำเป็นต้องทำการผ่าคลอด แรบบิท แคร์ มีคำตอบให้

    • กรณีคุณแม่เคยผ่าตัดคลอดบุตรมาก่อน โดยส่วนใหญ่หากคุณแม่เคยผ่าตัดคลอดบุตรมาก่อนแล้วการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไปก็จะต้องทำการผ่าคลอดเช่นกันเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัยของแม่และทารกในครรภ์
    • คุณหมอวินิจฉัยว่าคุณแม่มีปัญหาสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายหากทำคลอดแบบธรรมชาติ เช่น เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคเบาหวาน หรือครรภ์เป็นพิษ
    • มีภาวะรกต่ำ มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด เกิดเลือดออกและรู้สึกปวดบริเวณมดลูก
    • มีการผิดสัดส่วนระหว่างศีรษะเด็กทารกกับกระดูกเชิงกราน
    • มีการตั้งครรภ์แฝด และร่างกายหรือลักษณะของทารกไม่พร้อมคลอดแบบธรรมชาติ

    ค่าใช้จ่ายในการผ่าคลอด

    สำหรับค่าใช้จ่ายในการผ่าคลอดนั้นโดยปกติแล้วการผ่าตัดคลอดบุตรในโรงพยาบาลรัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายโดยประมาณอยู่ที่ 15,000 – 30,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการผ่าคลอดในโรงพยาบาลเอกชนจะมีค่าใช้จ่ายโดยประมาณอยู่ที่ 60,000 – 150,000 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับว่าคลอดลูกคนเดียวหรือลูกแฝด รวมถึงปัญหาสุขภาพและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ อีกด้วย

    *ราคาเหล่านี้เป็นราคาโดยประมาณที่อาจยังไม่รวมค่าใช้จ่ายก่อนและหลังทำคลอดอื่น ๆ

    น้ําคาวปลา ผ่าคลอด

    ขั้นตอนของการผ่าคลอด มีอะไรบ้าง ?

    • คุณแม่ต้องทำการงดน้ำและงดอาหาร
    • เจ้าหน้าที่จะทำการสวนอุจจาระ ทำความสะอาดบริเวณหน้าท้อง และมีการโกนขนบริเวณหัวหน่าว
    • พยาบาลทำการเจาะเลือดของคุณแม่เพื่อไปตรวจสุขภาพเบื้องต้นก่อนทำการผ่าตัด
    • ทำการให้น้ำเกลือแก่คุณแม่เพื่อป้องกันการอ่อนเพลียจากการงดน้ำงดอาหาร
    • โดยปกติแล้วแพทย์จะทำการบล็อกหลังให้กับคุณแม่ ทำให้ปลอดภัยกับทารก คุณแม่ไม่รู้สึกเจ็บและรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
    • แพทย์ทำการผ่าคลอดตามขั้นตอนจนเสร็จสิ้นกระบวนการ

    น้ำคาวปลา ผ่าคลอด คืออะไร ?

    บางคนอาจเคยได้ยินและสงสัยว่า น้ำคาวปลา ผ่าคลอด คืออะไร น้ำคาวปลาก็คือของเหลวที่ออกมาจากแผลในโพรงมดลูกซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากที่คลอดบุตรบริเวณตำแหน่งที่รกได้มีการลอกตัวออกไป และไหลไปสู่ช่องคลอดของคุณแม่ โดยส่วนประกอบของน้ำคาวปลานั้นจะมีเยื่อบุโพรงมดลูก เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว น้ำเหลือง และแบคทีเรียนั่นเอง

    ก่อนผ่าคลอดต้องเตรียมตัวอย่างไร ?

    สำหรับคุณแม่ที่กำลังกังวลว่าการผ่าตัดคลอดลูกนั้นดูจะเป็นการผ่าตัดใหญ่ อาจจะต้องเตรียมตัวหลากหลายขั้นตอนวุ่นวาย แรบบิท แคร์ บอกเลยว่ามีเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้นเอง

    • คุณแม่ต้องพยายามไม่เครียดและงดรับประทานอาหารและน้ำอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
    • เดินทางไปยังโรงพยาบาลก่อนเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัด
    • อย่าลืมเตรียมของใช้ส่วนตัวและเอกสารจำเป็นของทั้งคุณแม่และลูกไปยังโรงพยาบาลด้วย

    *ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของทางโรงพยาบาล

    หลังผ่าคลอดต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?

    • หลังจากผ่าคลอดเสร็จจะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ซึ่งจะมีการดูแลอย่างใกล้ชิดทุก ๆ 2 ชั่วโมง และมีการทำการวัดชีพจร ความดันต่าง ๆ ทุก ๆ 4 ชั่วโมง
    • ร่างกายของคุณแม่จะมีการฟื้นตัวและดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 12 ชั่วโมง และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 4 วัน

    ทั้งนี้แม้ว่าจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้วคุณแม่ก็ยังจำเป็นต้องดูแลตัวเองและลูกน้อยตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด และต้องไม่ลืมที่จะทำประกันเด็กให้กับลูกด้วย เนื่องจากเด็ก ๆ นั้นป่วยง่าย ถ้าไม่อยากให้ค่าใช้จ่ายบานปลายต้องไม่ลืมที่จะทำประกัน

    สรุป

    แรบบิท แคร์ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เดี๋ยวนี้วิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปมากมาย ไม่ต้องกังวลใจ ลองพิจารณาและเลือกวิธีการคลอดบุตรที่ใช่ได้เลย


    สรุป

    สรุปบทความ

    การผ่าคลอดนั้น มีข้อดี ดังนี้

    • กำหนดเวลาที่ต้องการคลอดบุตรได้ แต่ทั้งนี้ก็จำเป็นที่จะต้องดูความพร้อมและความแข็งแรงของทารกในครรภ์ประกอบด้วย
    • ไม่ต้องรอคลอดนาน ไม่จำเป็นต้องรอให้ปากมดลูกเปิดเหมือนคลอดธรรมชาติ และใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง
    • ช่วยลดการยืดหย่อนของเชิงกรานได้เป็นอย่างดี
    • ช่วยลดความเจ็บปวดในระหว่างคลอด เพราะจะมีการโปะยาสลบหรือทำการบล็อกหลังทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ
    • หากมีการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเกิดปัญหา จะได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างรวดเร็ว

    สำหรับรายจ่ายจะขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลแต่ละแห่ง อย่างโรงพยาบาลรัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 15,000 – 30,000 บาท ส่วนโรงพยาบาลเอกชนจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 60,000 – 150,000 บาท และหลังจากผ่าคลอดเสร็จ จะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลอย่างใกล้ชิดทุก ๆ 2 ชั่วโมง และมีการทำการวัดชีพจร ความดันต่าง ๆ ทุก ๆ 4 ชั่วโมง และเบื้องต้น ร่างกายของคุณแม่จะมีการฟื้นตัวและดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 12 ชั่วโมง และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 4 วัน

     

    จบสรุปบทความ

    ที่มา


     

    บทความแคร์ไลฟ์สไตล์

    Rabbit Care Blog Image 96153

    แคร์ไลฟ์สไตล์

    เอาใจคนชอบมอเตอร์ไซต์ เลือกสรรมอเตอร์ไซค์ที่ใช่สำหรับคุณ

    การเลือกมอเตอร์ไซค์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่รักการขับขี่ เพราะนอกจากจะต้องคำนึงถึงสไตล์และดีไซน์ที่ถูกใจแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงสมรรถนะ
    Thirakan T
    27/08/2024